แชร์ประสบการณ์ 2 สัปดาห์กับ iPhone X ใช้จริงแล้วเป็นอย่างไร ? ดีอย่างที่โฆษณาไว้ไหม

iphone-x-macthai-preview-cover

แอปเปิลเปิดขาย iPhone X พร้อมกันทั่วโลกมาได้กว่า 2 สัปดาห์แล้ว พร้อมกับปัญหาของขาดตลาด ขายเกลี้ยงในทุกประเทศที่เปิดขาย แม้ในไทยจะเริ่มวางขายจริงแล้ว แต่ก็คาดว่าของจะหมดและขาดตลาดไปช่วงหนึ่งเลยทีเดียว

ทีมงาน MacThai ได้มีโอกาสทดลองใช้งาน iPhone X ตั้งแต่วันแรก ซึ่งเราใช้งานในการรีวิว รวมถึงใช้เป็นเครื่องหลักในชีวิตประจำวันมากว่าครึ่งเดือนแล้ว ซึ่งคิดว่านานพอที่จะแชร์ประสบการณ์ กับ iPhone ที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี มาให้ได้ชมกัน

iphone_x_5

เมื่อ iPhone X คืออนาคต แต่เรากลับติดอยู่กับอดีต

  • ต้องยอมรับว่าช่วงแรกที่ได้ iPhone X มา ก็เห่อมาก ใช้ฟีเจอร์หลายอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะ Animoji กับ Selfie แบบ Portrait Mode (หน้าชัดหลังเบลอ)
  • ตัวเครื่องสวยมาก งานประกอบเนี๊ยบจริง สมราคา หยิบขึ้นมาในห้องประชุม ทุกคนว้าว มาขอลองเล่นมาลองจับ
  • ในช่วงรีวิว เราพยายามทดลองฟีเจอร์ใหม่ๆ ซึ่งต่างก็ใช้งานได้ดี เพียงแต่เราก็ไม่รู้ว่าถ้าใช้ประจำทุกวันๆ มันจะมีประโยชน์มาน้อยแค่ไหน
  • เวลาผ่านไป เริ่มเข้าสู่โหมดการใช้งานจริง ผ่านช่วงว้าวกับความสวยงามไปแล้ว ซึ่งพบว่า หลายอย่างก็ไม่ได้ดีงามขนาดนั้น

iphone_x_19

  • ดีไซน์ใหม่ของ iPhone X แม้จอจะใหญ่ขึ้นมาเป็น 5.8 นิ้ว ตามตัวเลขแล้วใหญ่กว่า iPhone 7 Plus ที่ 5.5 นิ้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว นั่นเป็นตัวเลขที่วัดจากขอบมุมไปมุม ซึ่งจอ iPhone X ยาวกว่ารุ่นอื่นๆ ทำให้ตัวเลขนี้หลอกตาอยู่
  • ตัวเครื่องจริงจอเล็กกว่า iPhone 7 Plus พอสมควร ทำให้ถ้าใครชินกับรุ่น Plus ก็จะรู้สึกได้ว่าจอเล็กลง (iPhone X กว้าง 70.9 mm, iPhone 7 Plus กว้าง 77.9 mm)
  • แต่ถ้าคุณชินกับรุ่นปกติอย่าง iPhone 7 ก็จะไม่ได้รู้สึกว่า iPhone X จอใหญ่กว่าเดิมเท่าไหร่นัก (iPhone X กว้าง 70.9 mm, iPhone 7 กว้าง 67.1 mm)
  • นอกจากนี้เครื่องก็ค่อนข้างหนักทีเดียวเมื่อเทียบกับขนาดเครื่อง คือหนักเกือบเท่า iPhone 7 Plus เลยทีเดียว (iPhone 7 : 138 g, iPhone X 174 g,  iPhone 7 Plus188 g)

iphone-x-macthai-preview-3

  • แอพหลายตัวอัพเดทรองรับขนาดเต็มจอของ iPhone X แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, YouTube ทำให้ดูได้เต็มจอ สะใจมากๆ
  • แต่หลายแอพก็ยังไม่อัพเดท เราก็จะได้จอที่เหมือนใช้ไอโฟนปกติ ไม่ว่าจะเป็นแอพอย่าง LINE, RoV, แอพธนาคาร, Grab ฯลฯ

iphone_x_8

การจากไปของปุ่ม Home มีทั้งดีและไม่ดี

  • สิ่งที่พลิกการใช้งานระบบ iOS ที่สุดในรอบ 10 ปี คือการที่ iPhone X ไม่มีปุ่ม Home แล้ว
  • ซึ่งการเลื่อนนิ้วจากล่างขึ้นบน ก็ทำงานได้ดีเอามากๆ ใช้งานไม่นานก็จะเริ่มชิน ใช้เวลาปรับตัวไม่นาน
  • จนช่วงหลังทีมงานเผลอไปปัดนิ้วขึ้นเมื่อใช้งาน iPad หรือ iPhone รุ่นเก่าด้วยซ้ำ
  • รวมถึงการสลับแอพที่มีท่าลัดคือปัดซ้ายขวาที่ขอบล่างจอได้ เครื่องเร็วแรงมาก ไม่มีอืดให้เห็นเลย
  • ผ่านไปสิบวัน ผมไม่คิดถึงปุ่ม Home เลยแม้แต่น้อย และคิดว่านี่แหละคืออนาคต
  • แต่ถึงอย่างนั้น การจากไปของปุ่ม Home ก็ทำให้ชีวิตยากลำบากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นท่าลัดในการใช้ Control Center, Siri, Capture หน้าจอ ที่ต้องเรียนรู้วิธีกดใหม่
  • เนื่องจากเป็นคำสั่งที่ไม่ได้ใช้บ่อยมาก เราเลยคุ้นเคยช้าลง นั่นทำให้หงุดหงิดมากขึ้นเมื่อจำวิธีใช้ไม่ได้
  • นอกจากนั้นการไม่มี Touch ID ที่ปุ่ม Home ทำให้การปลดล็อคเครื่องต้องผ่านหลาย Step ขึ้น คือยกเครื่องขึ้นมา สแกนหน้าด้วย Face ID แล้วก็กดนิ้วเลื่อนขึ้นเพื่อปลดล็อค
  • จากเดิมที่บางคนชอบทำ คือเอานิ้วแตะปุ่ม Home ระหว่างหยิบเครื่องขึ้นมา แล้วก็ใช้งานได้เลย อันนี้ถือว่าช้ากว่าเดิม แถม Face ID ก็ยังไม่เร็วมากนัก

Animoji คือฟีเจอร์ “เต๊าะสาว” ที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยมี iPhone มา

  • ความน่ารักมุ้งมิ้งของ Animoji ที่ทำให้เราขยับหน้า ตา จมูก ปาก แล้วตัว Emoji ขยับไปตามเรานั้น มันช่างน่าร๊ากกกก
  • น่ารักจนเป็นฟีเจอร์ที่เวลามีใครมาขอลองเล่น iPhone X ต้องมาลองใช้ดู แล้วเราก็จะได้เห็นทุกคนสนุกกับมันมาก
  • โดยเฉพาะสาวๆ ที่ฟันธงได้เลยว่า 90% ที่มาลองเครื่อง จะกรี๊ดกร๊าด ลองเล่นสนุกกับ Animoji แล้วบอกชอบมาก น่าร๊ากกก กันเพียบ
  • จนบางคนบอกว่า “นี่มันคือฟีเจอร์ไว้เต๊าะสาวนี่หว่า” ซึ่งใครจะแปลความว่าอะไรก็สุดแล้วแต่ฮะ 5555

iphone_x_6

  • เนื่องจากเป็นฟีเจอร์ใน iMessage หลายคนเลยคิดว่าต้องส่งกันใน iMessage เท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว Animoji สามารถเก็บเป็นคลิปวิดิโอ แล้วก็ส่งหาเพื่อนใน LINE, Facebook Messanger หรือแม้แต่แชร์ลง Social ต่างๆ ได้ด้วย
  • ฟันธงได้ว่าหลังจากนี้จะเริ่มมีแอพสำหรับทำหน้าที่คล้ายๆ Animoji ของ iMessage ออกมาอีกหลายตัวเลย

faceid-mangozero-iphonex

Face ID ความเจ๋งขั้นสุดยอด ที่ยังต้องรอการพัฒนา

  • ฟีเจอร์ที่เป็นตัวขายเลยของ iPhone X คือ Face ID หรือระบบสแกนใบหน้า ที่ต้องบอกว่าโคตรล้ำของจริง
  • ด้วยความที่ทำออกมาทีเดียวแซงหน้าทุกค่ายที่ทำมาก่อนหน้านี้เลย เพราะมีการใช้ระบบสแกนหน้าแบบ 3 มิติ แถมยังใช้ AI ที่เรียนรู้ใบหน้าเราได้
  • เรียกได้ว่า เอาภาพมาหลอกกันไม่ได้ (เหมือนที่เป็นข่าวในมือถือรุ่นอื่นๆ) แถมสแกนในที่มืดก็ได้ด้วยนะ
  • จากที่ลองดู ระบบจดจำใบหน้าได้ดีมากๆ เอียงหน้า, เปลี่ยนทรงผม, ตัดผมสั้นลงมากๆ, ใส่แว่นสายตา, ใส่แว่นดำ, ใส่หมวก สแกนผ่านได้หมด ของเขาดีจริง
  • แต่ก็เหมือนกับ Touch ID รุ่นแรก ปัญหาคือความช้า คือถึงแม้จะไม่ได้ช้ามาก แต่พอเราเคยชินกับความโคตรไวของ Touch ID (gen 2) บน iPhone 6s ขึ้นไปมาแล้ว มันเลยรู้สึกว่า Face ID ช้ากว่าพอสมควร

iphone_x_13

  • ถามว่าวันนึงมีสแกนไม่ผ่านบ้างไหม ก็มีพอสมควร โดยเฉพาะเวลาอยู่ในห้องที่แสงมีหลายสี หรือแสงจ้ามากๆ ก็จะมีไม่ผ่านบ้าง ต้องมากดรหัสผ่านแทน
  • แต่ถ้าให้เทียบกับ Touch ID บนไอโฟนรุ่นก่อนๆ ที่ในหนึ่งวัน ก็มีเจอสแกนนิ้วไม่ผ่านบ้างเหมือนกัน ผมว่าอัตราการปลดล็อคไม่ผ่าน ก็ต่างกันไม่มากนัก
  • แอปเปิลแอบใส่ระบบประหยัดแบตด้วยนะ คือถ้าเราใช้ iPhone X อยู่ แล้วหันไปมองสนใจที่อื่นนานๆ ระบบจะลดแสงสว่างหน้าจอลงมาเอง แล้วพอเราหันกลับไปสนใจ แสงก็สว่างเพิ่มขึ้นมา (แอปเปิลให้สัมภาษณ์ว่าเป็นระบบช่วยประหยัดแบต)
  • ก็ต้องถือว่าเป็นรุ่นแรก ยังมีผิดพลาดให้เห็น ยังมีงงๆ อยู่บ้าง แต่ถ้าถามว่าประทับใจไหม ก็ต้องบอกเลยว่าดีงาม

iphone-x-macthai-preview-6

กลัวตก กลัวหาย กลัวไปหมด … เพราะมันแพง (มาก)

  • แม้ทีมงานจะเคยใช้ iPhone มาตั้งแต่รุ่น 1 และตลอด 10 ปีมานี้ก็เปลี่ยนไอโฟนมาทุกรุ่น
  • แต่กับการที่ต้องพกมือถือ ที่ราคาเท่ากับ MacBook Air หรือ iMac หนึ่งเครื่องนั้น ก็ต้องบอกเลยว่ามัน “หวาดเสียวมาก”
  • หวาดเสียวในที่นี้คือเราจะกลัวเครื่องเป็นรอย กลัวตก กลัวจอแตก กลัวค่าซ่อมสุดแพง กลัวเครื่องขูด ฯลฯ
  • นี่ยังไม่นับสารพัดเพื่อนฝูงที่ผลัดกันมาขอลองเล่น ก็ยิ่งทำให้ใจหายไปได้พอสมควร เพราะถ้าตกแตกที เงินครึ่งแสนก็หายไปด้วยทันที
  • ปกติผมจะไม่ใส่เคส iPhone เลยตลอด 10 ปีมานี้ แต่กับ iPhone X ต้องยอมรับเลยว่าวันแรกที่ซื้อเครื่องมา ก็ต้องขอซื้อเคสมาใส่ด้วย (แต่ช่วงหลังพอชินแล้วก็คงถอดเคสออก)
  • คงอารมณ์เหมือนซื้อรถสปอร์ตแพงๆ ก็คงทะนุถนอมมากเป็นธรรมดา

iphone-x-macthai-preview-7

กล้องสวยจริง จอ Super OLED สวยคมจริง แต่ติ่งบนจอก็แอบหงุดหงิดบ้าง

  • กล้องถ่ายภาพของ iPhone X ที่เหนือกว่า iPhone 8 Plus ขึ้นไปอีกขั้น เพราะกันสั่นทั้ง 2 เลนส์เลย
  • ซึ่งความสวยคมชัดก็พัฒนาขึ้นไปอีกด้วยการประมวลผลข้างในเครื่องแบบ Real Time
  • ตัวอย่างเช่น เวลาถ่ายภาพคนกลางแดดหรือย้อนแสง ถ้าถ่ายด้วย iPhone 7 Plus (แบบไม่เปิด HDR) อาจจะได้ภาพคนชัด แต่ท้องฟ้าหายหมด พอมาใช้ iPhone X (หรือแม้แต่ iPhone 8 Plus) ภาพคนก็ชัด แถมท้องฟ้ายังมีสีฟ้าๆ ให้เห็นออกมาด้วย

iphone_x_14

  • แอปเปิลอธิบายว่า “โปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพอัจฉริยะที่ Apple ออกแบบจะคอย ตรวจจับองค์ประกอบต่างๆ ในฉากที่คุณถ่าย ไม่ว่าจะเป็นคน การเคลื่อนไหว และสภาพแสง เพื่อปรับแต่งรูปภาพให้สวยยิ่งขึ้น ตั้งแต่ก่อนที่คุณจะถ่ายเสียอีก”
  • ส่วนจอภาพแบบ Super OLED อันนี้ก็ต้องบอกว่า สวยงาม คมชัด และเป็นจอที่สวยมากๆ อย่างที่ได้คะแนนจาก Display Mate ว่าเป็นจอมือถือที่ดีสุดในโลกตอนนี้
  • แถมยังลดปัญหาจอฟ้า เวลามองด้านข้าง แบบที่จอ OLED ยี่ห้ออื่นเป็นอีกด้วยนะ

iphone-x-macthai-preview-2

  • สุดท้ายก็คงต้องพูดถึงเรื่องติ่งบนจอ ที่หลายคนบอกน่าเกลียด หรือดูแปลกๆ
  • เอาเข้าจริง พอใช้งานไปซักพัก เราจะแทบไม่รู้สึกเลยว่ามันมีติ่ง อาจจะเพราะเนื้อหาที่สำคัญของทุกแอบ ถูกจัดวางไว้ให้ไม่ต้องมีปัญหากับมันมาก
  • รวมถึงเวลากดดูภาพและคลิป ด้วย Ratio ส่วนใหญ่ไม่ได้ Wide ขนาดที่เปิดปุ๊บจะเห็นเต็มจอเลย ทำให้โดย Default แล้ว เราจะไม่เห็นติ่งเวลาดูภาพและคลิป
  • ยกเว้นจะกดซูม หรือ ขยายจอให้เต็ม อันนี้ถึงจะเต็มจอจนเห็นติ่งด้านบน

iphone_x_25

ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราอยากแชร์ ไว้รอติดตามตอนที่ 2 รวมถึงการรีวิว iPhone X แบบเต็มๆ กับทีมงาน MacThai ได้ที่นี่เช่นเดียวกัน โปรดติดตาม

เรียบเรียงโดย
ทีมงาน MacThai