สรุปคดีสิทธิบัตรหมื่นล้าน Apple vs Samsung – 2 วันแรก ซัดกันนัว
แค่เริ่มก็น่าสนุกแล้วสำหรับคดีสิทธิบัตรหมื่นล้าน ระหว่างแอปเปิลกับซัมซุง โดยแต่ละฝ่ายก็หยิบหลักฐานของตัวเองออกมาโชว์ เราในฐานะผู้ชมก็ดูเขากัดกันสนุกตามเรื่อง คดีนี้น่าจะจบในเวลา 2 อาทิตย์ และเชื่อว่าผลตัดสินจะมีผลอย่างมากกับทั้ง 2 บริษัทจากนี้ไป (อ่าน: FAQ คดีแอปเปิล vs ซัมซุง)
วันที่ 1 – เลือกคณะลูกขุน
- คดีเริ่มด้วยการเลือกคณะลูกขุนทั้ง 10 คน โดยผู้พิพากษาจะสัมภาษณ์ผู้สมัครทุกคนต่อหน้าผู้ฟ้องร้องทั้ง 2 ฝั่ง สุดท้ายได้คณะลูกขุนชาย 7 หญิง 3 ส่วนใหญ่มีความรู้ด้านไอที
- เป็นเรื่องเมื่อลูกขุนคนหนึ่ง ทำงานเป็นพนักงานของกูเกิล ในตำแหน่ง Interface Designer ซึ่งแน่นอนทนายฝั่ง Apple ไม่ยอม แต่ผู้พิพากษาบอกไม่น่าจะมีผลอะไร
- ศาลปฏิเสธไม่ให้ Samsung ใช้หลักฐานที่ว่าแอปเปิลลอกดีไซน์จาก Sony ตามที่เป็นข่าวดังก่อนหน้านี้ เนื่องจากหลักฐานอ่อน และ Shin Nishibori ไม่ได้ถูกเรียกเป็นพยนานในคดีนี้ตั้งแต่แรก
- อธิบายเพิ่มเติม Shin Nishibori พนักงานของแอปเปิลสร้างภาพจำลองโทรศัพท์ (CAD) ในปี 2006 และมีคำว่า Sony อยู่ด้วย แต่ในความเป็นจริง Nishibori ออกแบบ Mockup ตัวนี้จากการอ่านนิตยสาร Business Week ว่ามือถือโซนี่จะไม่มีปุ่ม, ขอบมน แต่ไม่มีภาพใดๆ ให้เห็น ดังนั้น Nishibori จึงสร้างภาพ CAD นี้จากจินตนาการ ซึ่งสุดท้ายแล้วมือถือที่โซนี่ทำออกมา ก็ไม่ได้มีส่วนคล้ายไอโฟนแต่อย่างใด
วันที่ 2 – ซัดกันมันส์หยด
- เกิดเรื่องฮาขึ้นเมื่อป้ายหน้าทางเข้าห้องไต่สวนในวันที่ 1 มีป้ายคำว่่า Apple v. Samsung ซึ่งซัมซุงร้องต่อศาลว่าทำไมชื่อแอปเปิลถึงขึ้นก่อน ศาลเลยแก้ปัญหาด้วยการทำชื่อมันทั้ง 2 แบบเลย คือ Apple v. Samsung และ Samsung v. Apple
- ศาลเริ่มด้วยการให้คณะลูกขุนชมวิดีโออธิบายเรื่องระบบสิทธิบัตร An Introduction to the Patent System
- ศาลให้เวลาทนายแต่ละฝ่ายน้อยมาก และจะไม่มีทดเวลาบาดเจ็บให้
:: แอปเปิล ::
- แอปเปิลเริ่มก่อนด้วยการบอกว่าสตีฟ จ็อบส์เคยเตือนตั้งแต่ใน Keynote ปี 2007 แล้วว่าแอปเปิลจดสิทธิบัตรกว่า 200 ชิ้นในการคิดค้นไอโฟน
- การเข้ามาแข่งขันในตลาดโทรศัพท์มือถือที่มี Nokia, Motorola และ Samsung ครองตลาดอยู่นั้นเป็นเรื่องยาก และเสี่ยงต่ออนาคตของบริษัทมาก
- ทนายพยายามโน้มน้าวด้วยการอธิบายกระบวนการออกแบบไอโฟนที่ใช้เวลาหลายปี และต้องจดสิทธิบัตรหลายอย่างให้ครอบคลุม มีแอบจิกซัมซุงว่า “การลอกนั้นง่ายกว่าการคิดค้นเองหลายเท่านัก”
- แอปเปิลโชว์ภาพโทรศัพท์ซัมซุงในยุคก่อนและหลังไอโฟน ซึ่งหน้าตาและการใช้งานต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
- นอกจากฮาร์ดแวร์แล้วยังมีสิทธิบัตร Multi-Touch ที่แอปเปิลครองอยู่ ทั้งการใช้นิ้ว Scroll หรือ 2 นิ้วซูมเข้าออกได้ ทีมงานของแอปเปิลเคยเตือนซัมซุงด้วยตัวเองแล้วถึงเรื่องนี้ แต่ซัมซุงเลือกที่จะไม่ทำตาม
- เรื่องสิทธิบัตร 3G ที่ซัมซุงเรียกจากแอปเปิลนั้นไม่เป็นธรรม มีสิทธิบัตรที่คล้ายกันนี้อีกหลายใบ และทุกคนก็ใช้เทคโนโลยีนี้กันหมด รวมทั้งค่าเสียหาย $12 นั้นสูงเกินไปเพราะชิ้นส่วน 3G มีราคาเพียง $10
- โดยสรุปแอปเปิลเสียหายจากการที่ซัมซุงลอกไอโฟนและไอแพด ซัมซุงทำรายได้มหาศาลจากเรื่องนี้ แอปเปิลจึงขอเรียกร้องค่าเสียหาย 2 พันล้านเหรียญ
:: ซัมซุง ::
- ดีไซน์ของไอโฟนไม่ใช่ของใหม่ มือถืออย่าง LG Prada ก็ทำหน้าจอขนาดใหญ่ มุมโค้งมน และจอสัมผัสมาก่อน และดีไซน์นี้เป็นเทรนด์ที่ค่ายมือถือทุกค่ายทำกัน
- ประโยคเด็ด “แอปเปิลไม่ได้เป็นผู้คิดค้นสี่เหลี่ยมซะหน่อย”
- ซัมซุงใช้งบวิจัยไปกว่า 3.5 หมื่นล้านเหรียญ ในช่วงปี 2005 – 2010 มีวิศวกรในการทำ R&D ถึง 10,000 คน และเราไม่ชอบลอกใคร
- แอปเปิลทำมือถือแค่ตัวเดียวต่อปี ซัมซุงทำจำนวนมาก หลายรุ่นหลายขนาด
- ไอโฟนมีชิ้นส่วนหลายอย่างที่มาจากการคิดค้นวิจัยของซัมซุง ทั้งชิป A5x, Retina หรือแอปเปิลจะบอกว่าไม่เชื่อถือในเทคโนโลยีของซัมซุง
- การศึกษาสินค้าของคู่แข่งไม่ใช่เรื่องผิด แอปเปิลเองก็เอา Galaxy Tab ไปผ่านดูในบริษัทเช่นกัน
- สิทธิบัตของแอปเปิลไม่ได้เป็นชิ้นเดียวในโลก ยังมีสิทธิบัตรอีกจำนวนมากที่ออกแบบมือถือรูปทรงสี่เหลี่ยม ขอบโค้งมน
- เทคโนโลยี Multi-Touch มีมานานก่อนไอโฟน โปรแกรมอย่าง LaunchTile ก็ทำซูมเข้าออกหลายนิ้วได้ ไมโครซอฟท์เองก็มีเทคโนโลยีในแบบนี้
- “ซัมซุงไม่ได้มีนิสัยชอบฟ้องร้องคู่ค้าในธุรกิจแบบแอปเปิล”
- เทคโนโลยี 3G ของซัมซุงมีความสำคัญต่ออุปกรณ์ของแอปเปิลมาก ถ้าไม่มีเทคโนโลยีนี้ความสามารถหลายอย่างก็จะหมดประโยชน์ไปเลย
ที่มา – All Things Digital
Apple vs Samsung : Patent War
- FAQ: ข้อควรรู้คดีสิทธิบัตรหมื่นล้าน ระหว่าง Apple กับ Samsung
- สรุปคดีสิทธิบัตรหมื่นล้าน Apple vs Samsung – 2 วันแรก ซัดกันนัว
- สรุปคดีสิทธิบัตรหมื่นล้าน Apple vs Samsung – วันที่ 3 Phil Schiller, Scott Forstall
- เผยเอกสารภายในของผู้บริหารซัมซุง “เรามาสร้างอะไรที่เหมือน iPhone กันเถอะ”