รีวิวหูฟัง AirPods Pro ราคาเกือบหมื่นนี้แลกมากับอะไร เสียง ความสะดวก หรือแค่ของมันต้องมี

แม้ว่า Apple นั้นจะเป็นแบรนด์ที่บอกว่าตัวเองให้ความสำคัญกับเสียงดนตรีมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุค iPod แต่หูฟังที่ Apple ออกแบบเองอย่างมีเอกลักษณ์นั้นเริ่มต้นตั้งแต่ EarPods ในปี 2012 ซึ่งเปิดตัวพร้อมกับ iPhone 5 ตามมาด้วย AirPods หรือ EarPods ไร้สายในปี 2016 พร้อมกับ iPhone 7 ในขณะที่ Apple ก็ขวบรวมกิจการของ Beats มาเป็นของตัวเองเองเพื่อเสริมทัพสินค้าในตระกูลหูฟัง

AirPods Pro เป็นสินค้ากลุ่มหูฟังสมัยใหม่ตัวที่ 3 ซึ่งเอาข้อดีเดิมของ AirPods เช่น การเชื่อมต่อ ความสะดวกสบาย มาผนวกรวมกับเทคโนโลยีชิปตัวใหม่ ระบบตัดเสียงรบกวน รวมถึงสร้าง Ecosystem ในการใช้งานให้ทำงานกับสินค้า Apple ตัวอื่น ๆ ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น แต่ก็แลกมากับราคาที่สูงถึง 9,490 สูงแซงหน้าหูฟังในระดับเดียวกันของแบรนด์อื่นมาเยอะพอสมควร

airpods-pro-7

แต่ราคาที่แพงนี้ สรุปแล้วมันแลกมากับอะไรกันแน่ วันนี้ทีมงาน MacThai จะมาคลายข้อสงสัย และเจาะลึกถึงฟีเจอร์ของ AirPods Pro รวมถึงแชร์ประสบการณ์จากการใช้งานในชีวิตประจำวันตามสไตล์สาวก Apple

ขนาดเหมือนจะใหญ่ แต่ไม่ได้ใหญ่มาก อ้วนขึ้นต่างหาก

เริ่มต้นกันที่หน้าตาและรูปร่างของ AirPods Pro ถ้ายังจำกันได้ก่อนหน้านี้ เรามีโอกาสได้ รีวิวหูฟัง Powerbeats Pro ซึ่งข้อเสียอันใหญ่หลวงของมันก็คือขนาดที่ใหญ่เกินไป ไม่สะดวกในการพก แต่สำหรับ AirPods Pro นั้นขนาดไม่ได้ต่างจาก AirPods เดิมมากนัก มีขนาดประมาณ 120% จากของเดิมประเมินโดยสายตา แต่อ้วนออกด้านข้างและเตี้ยลงเล็กน้อย ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาดูเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้

airpods-pro-14

พอเปิดกล่องออกมาเราก็ได้ข้อเฉลยว่าทำไมกล่องของ AirPods Pro ถึงมีหน้าตาออกมาอ้วนแบบนี้ ก็เพราะว่าตัวหูฟังของ AirPods Pro แต่ละข้างนั้นสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด มีการโค้งรับเข้าไปในทรงรูหูคล้ายกับตัว AirPods ธรรมดา แต่บริเวณปลายมีจุกยางซึ่งสามารถถอดเปลี่ยนได้ 3 ขนาดตามที่ Apple แถมมาให้

ap2

รูปทรงนี้นับว่าแปลกตาพอสมควรแต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะยังมีโครงเดิมของ AirPods อยู่ ซึ่งคุณสมบัติคร่าว ๆ ที่มากับ AirPods Pro ตามที่ Apple ได้เคลมไว้คือ

  • มีเซ็นเซอร์ตรวจจับการสวมใส่ เพื่อเปิดใช้งานระบบต่าง ๆ อีกทั้งเป็นการประหยัดแบตไปในตัว
  • มีแค่ 2 วิธีเท่านั้นที่เราจะสื่อสารกับตัว AirPods Pro ได้โดยไม่ผ่าน iPhone หรือ Apple Watch ได้แก่ การ “บีบ” ที่บริเวณก้านหูฟัง เพื่อเปิดหรือปิดระบบตัดเสียงรบกวน และใช้เป็นปุ่มควบคุม เล่นเพลง หยุดเพลง ข้ามเพลง ซึ่งตัส AirPods Pro นั้น “ไม่มีปุ่ม” ใด ๆ หรือไม่เช่นนั้นจะต้องใช้วิธีที่สองซึ่งทีมงาน MacThai เกลียด ก็คือการเรียกใช้ Siri แทน
  • มีมาตรฐานการกันน้ำแบบ ทนเหงื่อและน้ำ IPX4 ซึ่งใช้ในการออกกำลังกาย หรือตากฝนได้เล็กน้อย ไม่แนะนำให้ใส่ว่ายน้ำ (อืม)
  • ระบบตัดเสียงรบกวน และ “โหมดฟังเสียงภายนอก” หรือภาษาอังกฤษคือ Transparency mode ซึ่งช่วยให้เราได้ยินเสียงจากภายนอก ตรงนี้ทีมงานมองว่าดีมาก ๆ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าดีแค่ไหน

ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ก็คงเดิมเช่น การชาร์จแบบไร้สายมาตรฐาน Qi และการใช้ชิป H1

airpods-pro-4

อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้สำหรับ AirPods Pro ก็คือ “คนที่ใส่ AirPods แล้วหลุด ใส่ไม่หลุดแล้วจ้า” แน่นอนก็เล่นมีจุกยางเข้าไปซะขนาดนั้น แต่กลายเป็นว่านี่อาจจะเป็นฟีเจอร์ที่หลาย ๆ คนชื่นชอบเลยก็ว่าได้

airpods-pro-10

ลองเทียบการใส่หูฟัง AirPods Pro (ซ้าย) และหูฟัง AirPods เดิม (ขวา) จะบกว่าก้านของ AirPods Pro นั้นสั้นกว่าของ AirPods รุ่นเดิมมาก ๆ แต่จะกินพื้นที่ในส่วนแนวขวางของหูมากกว่า

การเชื่อมต่อกับ iPhone ยังคงเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุด

สินค้าของ Apple เอง ดีที่สุดก็คือต้องทำงานกับสินค้า Apple ด้วยกัน ถามว่าเอาไปใช้กับ Android ได้ไหม ได้! แต่ไม่ดีเท่าใช้กับโลกของ iPhone, Apple Watch, iPad และ Mac ใครที่ใช้ AirPods เดิมมาก่อน ก็น่าจะเข้าใจประสบการณ์นี้เป็นอย่างดี

airpods-pro-5

ฟีเจอร์ที่ว่านั้นก็ตั้งแต่

  • เชื่อมต่ออย่างง่ายดาย ไม่ต้องใส่รหัส ไม่ต้องกดปุ่มแปลก ๆ แค่เปิดฝาออกมา แล้วกดเชื่อมต่อเท่านั้น
  • มีระบบบอกแบตด้วยการดูผ่าน iPhone ได้โดยตรง หรือเปิดฝา AirPods ออกมา ก็จะบอกข้อมูลอย่างละเอียด
  • Apple ทำให้ AirPods ทุกรุ่นเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทุกตัวของเราอัตโนมัติผ่าน iCloud นั่นหมายความว่า สมมติเราซื้อ AirPods ที่ร้าน เราเชื่อมมันกับ iPhone ของเรา กลับบ้านมาเราสามารถใช้มันกับ Mac ของเราได้เลยด้วยการแค่กดเชื่อมต่อจากเมนู Bluetooth บน Mac แค่นั้น แล้วหลังจากนั้นเราก็สลับไปสลับมาได้อย่างปกติ ไม่ต้อง Disconnect

อีกอย่างคือถ้าเพื่อนหยิบไปจะใช้ มันจะเขียนว่า Not Your AirPods (ฮา) วิธีนี้ทีมงานชอบเอาไปแกล้งเพื่อนที่ไม่มี AirPods

การสวมใส่ ไม่ปวดหูอย่างน่าประหลาด และประสบการณ์การ “บีบ” ที่ก้านหูฟัง ยากไปนิด

อันนี้ไม่ได้อวยแต่อย่างใด แต่ปกติแล้วผู้เขียน “เกลียด” หูฟังแบบ In-Ear เนื่องจากใส่แล้วจะปวดหู แล้วไม่ชอบการที่เราไม่ได้ยินเสียงจากข้างนอก แต่ AirPods Pro นั้นใส่แล้วไม่ได้รู้สึกแบบนั้น และถือว่าสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร

แต่สิ่งที่ทำให้หงุดหงิดเล็กน้อยก็คือยังไม่ชินกับวิธีการ “บีบ” ที่ก้านหูฟังเพื่อเปลี่ยนแปลง หรือสลับระหว่างโหมดตัดเสียงรบกวนกับระบบ Transparency (แต่ชื่นชม Apple ที่ใส่ใจว่าเป็นการสลับระหว่าง Transparency กับ Noise Cancellation เพราะเวลาเราใส่เดินบนถนน หรือเวลาคุยกะเพื่อน เราก็จะใช้งาน 2 โหมดนี้อยู่แล้วสลับไปมา นับว่า UX ดี)

ที่บอกว่ายากไปนั้นก็เพราะว่ามันไม่ได้เป็นปุ่มแบบ Physical ที่จะให้ Feedback กลับมาที่นิ้วของเราโดยตรงว่า “กดแล้วนะ” แต่จะให้ Feedback เป็นเสียงคลิกในหูเราแทน (กว่าระบบประสาทสองจุดนี้จะ sync กัน ก็คิดดู) ทำให้เราต้องใช้สมองมากกว่าปกติในการประมวลผล ตรงนี้ก็งงว่าทำไม Apple ไม่ทำเป็น Haptic Feedback เหมือนบน TrackPad ของ Mac หรือ iPhone แทน

airpods-pro-15

อีกอย่างคือการที่ต้องยกมือขึ้นมาบีบก้านหูฟังนั้น บางทีเราก็ไม่รู้ว่าหูฟังอยู่ตรงไหน บางทีไม่ระวังปัดตก หล่นหาย ซวยไปอีก ซึ่งเมื่อเทียบกับ AirPods รุ่นเดิม Apple ใช้การ “แตะ” เอา ทำให้เราเอานิ้วมาตี ๆ ที่หูก็สั่งการได้แล้ว เพราะ AirPods เดิมรับคำสั่งจากการสั่นที่มีนัยสำคัญ แต่พอเป็น AirPods Pro นี่ยากเลย

หวังว่า Apple จะปรับแก้ไขตรงนี้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าสามารถใช้ Software แก้ได้หรือเปล่า เพราะน่าจะเกี่ยวกับ Sensor ซึ่งถ้า AirPods Pro ไม่มีก็จบ

คุณภาพเสียงงั้น ๆ แต่เหมาะที่จะเป็นหูฟังประจำวัน ระบบตัดเสียงไม่น่าแปลกใจ แต่ที่ชอบคือโหมดฟังเสียงภายนอก

ก่อนจะไปสับยับถึงเรื่องการฟังเพลง ขออวยข้อดีในระบบตัดเสียงรบกวนและระบบ Transparency ก่อน เพราะถือว่า Apple ทำได้ดีมาก ๆ วิธีการใช้งานนั้นออกแบบมาให้เข้ากับชีวิตประจำวัน โดยเราสามารถสลับระหว่างโหมดด้วยการ

  • กดค้างที่ก้านของหูฟังเพื่อสลับระหว่าง Transparency และ Noise Cancellation
  • เราสามารถเข้าถึงระบบ Off หรือการปล่อยหูฟังตามธรรมชาติ ได้ด้วยการกด 3D Touch ที่ตัวปรับเสียงใน Control Center หรือเข้าไปปรับใน Settings

9

นอกจากนี้ Apple ยังได้มีระบบให้เราสามารถทดสอบว่าจุกยางแบบไหนที่เหมาะสมกับเรามากที่สุดด้วยเป็นการช่วยเราเลือก (แต่จริง ๆ เราใส่เองก็จะรู้ ไม่ได้หวือหวาอะไรมาก แต่ก็ถือว่าใส่ใจในรายละเอียด)

ที่บอกว่า ชอบโหมดฟังเสียงภายนอกหรือ Transparency เป็นพิเศษ ก็เพราะว่ามันช่วยให้เราได้ยินเสียงภายนอกชัดขึ้นจริง ๆ แม้ว่าจะเป็นหูฟังแบบมีจุกยางและเปิดเพลงอยู่ คือได้ยินชัดกว่าใส่ AirPods ปกติอีก ทำให้เวลาเราเดินอยู่บนถนน หรือฟังเพื่อนพูดเราก็จะได้ยินโดยที่ไม่ต้องถอดหูฟัง แต่ถ้าต้องการที่จะไม่ฟังเมื่อไหร่ก็แค่บีบที่ก้านหูฟัง

อีกอย่างคือ ถ้าไม่มีโหมดนี้เวลาใส่เดินจะอันตรายมาก ๆ โดยเฉพาะในเมืองไทยที่ทางเดินเท้านั้นเปรียบเสมือนสนามรบ และทางม้าลายกลายเป็นทางวัดใจ เป็นฟีเจอร์ที่เหมาะกับบ้านเราดี

airpods-pro-13

ส่วนการฟังเพลงนั้น ขอไม่พูดเยอะเพราะไม่ต่างจาก AirPods 2 เดิมเลย ในแง่ของคุณภาพเสียง แต่การมีจุดยางและระบบตัดเสียง ก็ช่วยให้การฟังเพลงมีความสุขขึ้น แต่ไม่ได้สัมผัสถึงความสามารถด้านเสียงที่พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งตรงนี้เอาเข้าจริง ๆ ก็พอกับการใช้งานทั่วไปแล้ว แถมยังดีมาก ๆ ด้วยมีการ Delay ที่ต่ำ ใส่เล่นเกมได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ส่วน Battery นั้น ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรมากเช่นกัน เอาเป็นว่าเหมือนกับ AirPods ธรรมดา พอใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน ไปต่างจังหวัด 2-3 วันไม่ต้องชาร์จ ใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไปกลับบ้านมาวางชาร์จไร้สายสบาย ๆ อยู่แล้ว

สรุป AirPods Pro เราซื้อประสบการณ์ที่ดี ความสะดวก และชีวิตประจำวันที่หลื่นไหล แต่จะคุ้มไหม ก็ตัดสินเอง

ลองใช้กันมาแล้ว มาลองดูข้อสรุปของเราบ้างว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร

สิ่งที่ชอบ

  • การออกแบบประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นเช่นเดิม สไตล์ Apple
  • ขนาดที่เล็ก ใหญ่กว่าเดิมไม่มากนัก
  • ระบบ Transparency และการเลือกเปิดปิดเป็นคู่ตรงข้ามกับระบบ Noise Cancellation
  • ใส่ขึ้นเครื่องบินจะ Happy มาก มันไม่เจ็บหู ไม่ใหญ่ นอนได้
  • แบตอึดใช้ได้ เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน

สิ่งที่ไม่ชอบ 

  • ราคา (ฮา) ถ้าเปิดตัวมาซักเท่า AirPods 2 จะดีมาก
  • การบีบที่ก้านหูฟัง ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นว่าการแตะที่หูฟังของ AirPods รุ่นเดิมเป็น UX ที่ดีกว่ามาก
  • ระบบเสียงที่ไม่ได้พัฒนาเท่าไหร่ แต่ก็พอเข้าใจได้ ว่า Apple วาง Position ของ AirPods ทุกรุ่นให้เป็นหูฟังในชีวิตประจำวัน (พอเขียนแล้วก็นึกได้ว่า เอ๊ะ แล้วมัน Pro ยังไงหว่า เรียกว่าเป็นหูฟัง AirPods ที่ทำเสร็จแล้วดีกว่า)

airpods-pro-2

สรุปแล้ว จากการที่ลองใช้ AirPods Pro มาก็พบว่า AirPods Pro เป็นส่วนเติมเต็มประสบการณ์การใช้งาน AirPods ของเราให้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าจะแลกมากับราคาที่สูงขึ้นก็ตาม แต่มันก็เหมือนกับเป็น AirPods ที่ทำเสร็จแล้วและมีทุกอย่างที่เราต้องการ เราอาจจะยังไม่ต้องการฟีเจอร์ที่เวอร์ไปกว่านี้เช่น การวัดอัตราการเต้นหัวใจ (แต่เราจะรู้เมื่อวันที่ Apple เลือกที่จะใส่มา) เรื่องของการฟังเพลงนั้นไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก แต่สไตล์การใช้งานที่สาวก Apple หลาย ๆ คนชื่นชอบก็สามารถตอบโจทย์และทำให้เราเสียเงินเกือบหมื่นเพื่อเป็นเจ้าของ

AirPods as it should be, not AirPods Pro

เรียบเรียงโดย ทีมงาน MacThai