ไอโฟนราคาประหยัดคุณภาพดี เป็นสิ่งที่แอปเปิลพยายามทำมาหลายปี แต่การมาครั้งแรกของ iPhone 5c ก็ทำให้หลายคนผิดหวัง เพราะทั้งราคาและคุณภาพกลับไม่ได้ดีอย่างที่หลายคนคาดหวังไว้
ซึ่งในปีนี้แอปเปิลกลับมาบุกตลาดไอโฟนราคาประหยัดใหม่อีกครั้งด้วย iPhone SE ซึ่งไม่ใช่แค่ราคาที่ประหยัดกว่ารุ่นพี่เกือบหมื่นบาท แต่สเปคความแรงชิป A9, แรม 2GB ก็จัดเต็มไม่แพ้ใคร แถมด้วยกล้องระดับ 12 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K กันเลยทีเดียว
และนี่คือรีวิว iPhone SE ที่หลายคนคาดหวังว่า จะเป็นไอโฟนที่ขยับเข้ามาในราคาที่สัมผัสได้กันเสียที (เริ่ม 16,800 บาท) ดีไม่ดีอย่างไร ทีมงาน MacThai ได้มารีวิวให้ชมกันเลย !!
แกะกล่อง iPhone SE ไม่มีอะไรที่ต่างจากเดิม
สำหรับเครื่อง iPhone SE ที่นำมารีวิวนี้เป็นเครื่องจากฮ่องกง ซึ่งภายนอกก็ไม่ต่างจากกล่องไอโฟนทั่วไป โดยลักษณะจะคล้ายกับกล่องของ iPhone 6s มากเลยทีเดียว
ด้านหน้ากล่องจะมีพิมพ์รูปหน้าจอ iPhone SE เอาไว้ นูนออกมาจากกล่องเล็กน้อย ใช้ Wallpaper เป็นรูปดอกไม้สีสันต่างๆ ซึ่งถ้าดูจากหน้ากล่องก็จะรู้ได้ทันทีว่าข้างในเป็นเครื่องสีอะไร
ด้านข้างจะเขียนว่า iPhone SE หรือชื่อเต็มๆ คือ iPhone Special Edition ด้านหลังจะเขียนระบบขนาดเอาไว้ ตามเครื่องนี้คือ 64 GB
เปิดออกมาก็จะเจอตัวเครื่อง iPhone SE ตัวกล่องเปิดยากเหมือนรุ่นอื่นๆ ถ้าใครจะเปิดแบบดึงออก แนะนำระวังเครื่องข้างในตก
อุปกรณ์ที่ให้มาในเครื่อง ก็จะมีเหมือนกับไอโฟนเครื่องอื่นๆ ดังนี้
- หูฟัง EarPods
- สายชาร์จแบต Lightning
- Adaptor ชาร์จไฟ (กรณีนี้เป็นเครื่องฮ่องกง หัวเลยเป็นแบบ 3 ขา)
- คู่มือการใช้งาน
- สติ๊กเกอร์รูปแอปเปิล
- ที่เสียบเพื่อดึง SIM Card ออกมา
iPhone SE ดีไซน์เดิมๆ แต่ทรงพลังสุดๆ
อย่างที่หลายท่านทราบว่า iPhone SE ถูกออกแบบมาโดยใช้ดีไซน์เดียวกับ iPhone 5s แบบเป๊ะๆ เลย ซึ่งถ้ามองผ่านๆ ก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเครื่องนี้คือ 5s หรือ SE กันแน่
โดยการออกแบบเป็นรูปทรงเหลี่ยม ที่ขอบด้านข้างขัดด้วยเพชรจนเนียน ด้านหลังเป็นอะลูมิเนียมเกรดใหม่ ซึ่งจะมีสัมผัสที่หรูหรากว่าของ iPhone 5s เล็กน้อย รวมถึงโลโก้แอปเปิลที่จะเป็นอะลูมิเนียม ไม่เหมือน 5s ที่เป็นกึ่งๆ พลาสติก
สิ่งเดียวที่สามารถแยกได้ว่านี่คือ iPhone SE คือสัญลักษณ์คำว่า iPhone SE ด้านหลังเครื่อง หรืออีกอย่างคือต้องซื้อสีชมพู Rose Gold ซึ่งไม่มีสีนี้ใน iPhone 5s
อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะเป็นดีไซน์เดิม แต่ก็เป็นดีไซน์ที่ออกแบบโดยแอปเปิลซึ่งได้รับรางวัลมามากมาย ทั้งเรื่องความสวยงาม การจัดวางปุ่มหรือสีสันต่างๆ แม้ผ่านไปหลายปีแล้วแต่ก็ยังดูสวย ไม่ได้ดูเก่าล้าสมัยแต่อย่างใด
ข้อดีของดีไซน์รูปแบบนี้คือเราสามารถตั้ง iPhone SE ได้ ทั้งแนวตั้งและแนวนอน รวมถึงกล้องที่จะไม่มีขอบยื่นออกมาเหมือนกับ iPhone 6, 6s ทำให้วางกับพื้นได้เรียบสนิท ไม่ต้องกลัวการขูดเป็นรอย
ด้วยขนาดก็ถือว่าเป็นไอโฟนที่พกพาสะดวกและถือง่าย ใช้งานมือเดียวได้สะดวก สามารถเอื้อมนิ้วไปแตะขอบทั้งบนล่างซ้ายขวาได้หมด
สำหรับสีที่มีมาทั้งหมด 4 สีได้แก่ สีเงิน, สีทอง, สีเทาสเปซเกรย์, สีโรสโกลด์ ซึ่งถ้าอยากจะได้สีที่ดูออกว่าเป็น iPhone SE มากสุดก็คงต้องเป็นสีชมพูโรสโกลด์ แต่สีอื่นๆ ก็ยังสวยงามตามสไตล์แอปเปิล
จุดด้อยของหน้าจอ 4 นิ้ว
ข้อเสียที่สำคัญที่สุดของ iPhone SE คือขนาดหน้าจอที่เล็กเพียง 4 นิ้วเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าใครเคยใช้ iPhone 4s, 5, 5c, 5s มาก่อน อาจจะไม่รู้สึกอะไรมาก
แต่ถ้าคุณใช้มือถือจอใหญ่อย่าง iPhone 6, 6 Plus มาก่อน จะรู้สึกได้ทันทีว่า “ทำไมจอมันเล็กจัง”
ทีมงานพบว่าการเปลี่ยนกลับมาใช้มือถือที่จอเล็กกว่าที่เคยใช้ เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะประสบการณ์ใช้งานต่างๆ จะแย่ลงทันที ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ข้อความ การดูเว็บ ดูรูป อ่านข้อมูลต่างๆ
โดยเฉพาะเรื่องการพิมพ์ ด้วยคีย์บอร์ดที่เล็กลง ทำให้พิมพ์ผิดบ่อยขึ้นค่อนข้างมากทีเดียว
นอกจากนี้ถ้าเราดูในตลาดสมาร์ทโฟนปัจจุบัน ก็แทบไม่มีใครทำมือถือจอแค่ 4 นิ้วออกมากันแล้ว โดยเฉพาะระบบ Android ที่ในราคา 16-17k บาทก็จะได้จอใหญ่กันแทบทั้งนั้น
ข้อดีสำหรับจอ 4 นิ้วคือการพกพาที่สะดวกสบายมากขึ้น ใช้งานมือเดียวได้สะดวก สามารถยื่นนิ้วไปจับที่ขอบได้ทั่วเครื่อง
นอกจากนี้ด้วยตัวเครื่องที่เล็ก ทำให้พกพาสะดวก รวมทั้งใส่ในกระเป๋ากางเกงได้สบายๆ ไม่เจอปัญหาเหมือน iPhone 6 หรือ 6 Plus
สเปคขั้นเทพ แรงไม่มีกระตุก แรม 2GB เปิดหลายแอพได้สบาย
พูดถึงจุดเด่นที่หลายคนสนใจที่สุดสำหรับ iPhone SE คงหนีไม่พ้นการที่แอปเปิลจัดเต็มอัดสเปคมาแรงเท่า iPhone 6s รุ่นท็อป ทั้งที่ราคาแพงกว่ากันเกือบหมื่นบาท !!
โดยสเปคของ iPhone SE มีดังนี้
- iPhone SE มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4 นิ้ว ดีไซน์เป็นอะลูมิเนียมเหมือนกับ iPhone 5s เป๊ะๆ
- ชิป A9 (64-bit) เร็วแรงเทียบเท่า iPhone 6s พร้อมชิป M9 จับการเคลื่อนไหว
- กล้อง 12 ล้านพิกเซล
- รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K และ Live Photo
- ระบบสแกนลายนิ้วมือ Touch ID
- มีชิป NFC รองรับการจ่ายเงินด้วย Apple Pay
- มีให้เลือก 4 สี คือ สีเงิน, สีทอง, สีเทาสเปซเกรย์ และสีชมพูโรสโกลด์
- มี 2 ความจุคือ 16 GB และ 64 GB
- ราคาไทยเริ่ม 16,800 บาท
หลังจากที่ทีมงานได้ทดสอบใช้ iPhone SE มาหลายวัน ต้องยอมรับเลยว่าของเค้าแรงจริงๆ ด้วยขุมพลังจากชิป A9 ที่แรงเทียบ iPhone 6s, Galaxy S7 หรือสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปอื่นๆ ทำให้การใช้งานลื่นไหลสุดๆ
ไม่ว่าจะเป็นการเปิดแอพ, การเล่นเกม, ใช้งาน Social Network, คุย LINE หรือแม้แต่การสลับแอพไปมา แทบจะไม่มีการกระตุกให้เห็นเลย
ทดสอบเล่นเกมอย่าง Need for Speed ก็ได้ภาพออกมาสวยงาม เข้าโค้งโชว์ดริฟท์ ก็เห็นทั้งฉาก ทั้งการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว การโหลดเกม เข้าฉากต่างๆ ก็ต่อเนื่องมาก
สิ่งที่ดีมากอีกเรื่องคือการให้แรมมามากถึง 2GB ทำให้เมื่อเราเปิดสลับแอพไปมา ก็ใช้งานต่อได้เลย ไม่ต้องรอให้โหลดใหม่
เช่นในวิดีโอรีวิว ทีมงานทดสอบเปิดเกม Need for Speed, Lara Croft: Relic Run ซึ่งทั้งสองเกมใช้กราฟฟิคที่หนักมาก จากนั้นเปิด Facebook, Safari อีก 3 tab, LINE, Twitter, App Store
ปรากฏว่าเราสามารถกดสลับทุกแอพไปมาได้ทันที ไม่ต้องรอให้โหลดใหม่เลย ทำให้ประสบการณ์ใช้งานดีมากๆ
กล้อง 12 ล้านพิกเซล, รองรับ Live Photo, ถ่ายวิดีโอ 4K
กล้องถ่ายภาพถือเป็นหัวใจของการใช้มือถือในทุกวันนี้ไปแล้ว สำหรับ iPhone SE แอปเปิลก็จัดเต็มให้กล้องความละเอียด 12 ล้านพิเซล ตัวเดียวกับที่ใช้บน iPhone 6s มาเลยทีเดียว
ซึ่งหลังจากที่ทดสอบถ่ายภาพรอบๆ กรุงเทพ ทั้งกลางวันและกลางคืน ก็พบว่ากล้องมีคุณภาพเทียบเท่า iPhone 6s จริง
โดยสเน่ห์ของกล้องไอโฟน คือการใช้งานที่ง่ายมากๆ โฟกัสไว ภาพที่ถ่ายมีความคมชัด และให้สีสันเป็นธรรมชาติ ไม่เร่งจนเว่อร์เกินไป ทั้งหมดยังคงมีอยู่ครบถ้วน
จุดเด่นของกล้องถ่ายภาพ iPhone SE คงเป็นเรื่องของความคมชัด เวลาที่ถ่ายภาพที่เน้นรายละเอียดเยอะๆ เช่นการถ่ายวิว ถ่ายอาหาร หรือสถานที่ต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีระบบ Focus Pixel จับหน้าคนได้อย่างรวดเร็ว แทบไม่ต้องคอยกดแตะหน้าจอให้โฟกัสเลย รวมทั้ง True Tone Flash ถ่ายกลางคืนได้แสงที่เป็นธรรมชาติ ตาไม่แดง
สำหรับการถ่าย Live Photo สามารถทำได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ซึ่งภาพที่เราถ่ายจะเหมือนมีชีวิต แต่เนื่องจากตัวเครื่องไม่มีจอแยกแรงสัมผัส 3D Touch ทำให้ต้องใช้การแตะที่ภาพธรรมดา เพื่อให้ภาพขยับได้
โหมดถ่ายวิดีโอ รองรับขนาด 4K เช่นเดียวกับ iPhone 6s ซึ่งภาพวิดีโอจากการทดสอบก็ได้คุณภาพที่ดี โดยเฉพาะเรื่องการรับแสง แต่ไฟล์ภาพก็ใหญ่มากทีเดียว ใครที่ใช้เครื่อง 16 GB ไม่เพียงพอแน่นอน
จุดอ่อนคือกล้องหน้า ที่ให้มาแค่ 1.2 ล้านพิกเซล คือแทบไม่ต่างจาก iPhone 5s เลย แม้ภาพจะไม่ได้แย่อะไร แต่เวลาถ่ายกลางคืน กล้องหน้าก็ได้ภาพที่เห็น Noise ค่อนข้างเยอะทีเดียว
อีกเรื่องที่เพิ่มเข้ามาคือกล้องหน้า จะมี Retina Flash ใช้แสงจากหน้าจอในการทำให้หน้าไม่มืดเวลาถ่าย Selfie ในที่แสงน้อย
รองรับ Siri Always-On, Apple Pay และอื่นๆ
สำหรับฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจสำหรับ iPhone SE คือความสามารถ Siri Always-on ซึ่งทำให้เราสามารถเรียกใช้งาน Siri ได้โดยแค่พูดว่า “หวัดดี Siri” ก็จะใช้งานได้ทันที ไม่ต้องกดปุ่มที่เครื่องเลย
ส่วน Touch ID ก็ยังคงเป็นรุ่นเดิมเหมือนกับ iPhone 5s ความเร็วในการสแกนลายนิ้วมือก็ถือว่าพอใช้ได้ แต่ไม่เร็วสุดๆ เหมือนกับ iPhone 6s แต่อย่างไรก็ดีแอปเปิลให้ชิป NFC มาด้วย ทำให้ iPhone SE รองรับบริการ Apple Pay (แต่ยังไม่เปิดให้บริการในไทย)
สำหรับแบตเตอรี่ ถือว่าใช้งานได้ยาวนานกว่าที่คาดมาก โดยทีมงานเคยทดสอบ iPhone 6 และ iPhone 6s แบตสามารถใช้ได้ประมาณ 8-9 ชั่วโมง แต่กับ iPhone SE แบตอยู่ได้นานถึง 11-12 ชั่วโมงเลยทีเดียว
เมื่อดูผลจากการทดสอบในต่างประเทศก็ได้ในระเวลาใกล้เคียงกัน คาดว่าน่าจะเป็นเพราะหน้าจอที่เล็กกว่าไอโฟนรุ่นอื่นนั่นเอง
นอกจากนี้ก็จะมีความสามารถอื่นๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาใน iPhone SE ดังนี้
- มีไมโครโฟนตัวใหม่ เสียงชัดกว่าเดิม
- รองรับ Wi-Fi Calling ซึ่งบางค่ายมือถือในไทยเริ่มเปิดใช้แล้ว
- ระบบ LTE ใหม่ที่รองรับถึงระดับ 150 Mbps
- รองรับ Voice Over LTE
- มาพร้อมชิป M9 จับการเคลื่อนไหวต่างๆ ได้ดีขึ้น
:: สรุป ::
จากประสบการณ์ใช้งาน iPhone SE มาพอสมควร ทีมงานพบว่า เรื่องของดีไซน์ที่เหมือน 5s นั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เพราะมีข้อได้เปรียบเรื่องการพกพาสะดวก กล้องไม่ปูดออกมาจากเครื่อง สีสันสวยงาม ใส่กระเป๋ากางเกงได้สบายๆ
ความแรงของชิป A9, แรม 2GB และกล้อง 12 ล้านพิกเซล น่าจะเป็นจุดตัดสินใจที่หลายคนน่าจะชอบเลยทีเดียว เพราะด้วยราคาเพียงเท่านี้ แต่ได้สเปคแรงมากๆ เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ทำทุกอย่างได้ไม่มีติดขัด สามารถใช้ไปยาวๆ ได้อีกหลายปีเลยทีเดียว
ข้อเสียที่ชัดเจนคือขนาดหน้าจอที่ 4 นิ้ว ถ้าใครใช้จอใหญ่มาก่อน แนะนำให้ลองเล่นที่ร้านดูก่อนจะตัดสินใจ เพราะการกลับมาใช้มือถือจอเล็กลง ก็ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีซักเท่าไหร่
เรื่องราคา 16,800 บาทก็คิดว่าเป็นราคาที่เหมาะสมดี ไม่ถูกมากแต่ก็ไม่ได้แพงจนเกินไป แถมได้สเปคแรงด้วย โดยสรุป iPhone SE เป็นไอโฟนที่หน้าจอเล็ก แต่มาพร้อมเครื่องที่แรงมาก ใช้งานได้ลื่นหัวแตกไม่มีสะดุด พร้อมกล้องที่ถ่ายภาพได้สวยงาม คมชัด รองรับเทคโนโลยีในอนาคตหลายอย่าง พร้อมราคาที่สัมผัสได้ครับ
เรียบเรียงโดย
ทีมงาน MacThai
อ่านเพิ่ม