สรุปฟีเจอร์เด็ดบน iOS 11 อัปเดตใหม่ยกชุด Siri ฉลาดขึ้น, มาพร้อม Machine Learning และ AR
หลังจากที่แอปเปิลปล่อย iOS 11 เวอร์ชันล่าสุด ให้กับผู้ที่ใช้ iPhone, iPad และ iPod touch ทั่วโลกได้อัปเดตแล้ววันนี้ ทีมงาน MacThai เลยมาสรุปฟีเจอร์เด็ดที่ทุกคนควรรู้ว่ามีอะไรบ้าง มันเจ๋งแค่ไหน มาดูกัน
iMessages
- ย้ายแถบเลือกสติกเกอร์ลงมาด้านล่าง ให้สามารถเรียกใช้งานได้ง่ายขึ้น
- Messages in iCloud: ซิงก์ข้อความทั้งหมดระหว่างอุปกรณ์ได้แบบ Real-time
Apple Pay
- สามารถโอนเงินให้เพื่อนผ่าน Apple Pay ที่ผูกกับบัญชีธนาคารผ่าน iMessages ได้
Apple Maps
- แสดงรายละเอียดภายในอาคาร ห้างสรรพสินค้า สนามบินในแต่ละชั้น เหมือน Google Maps
- แสดงความเร็วสูงสุดที่สามารถวิ่งได้บนถนนแต่ละเส้น
- แสดงเลนบนถนนและแนะนำเลนที่ต้องเข้าก่อนทำการเลี้ยว
- Do Not Disturb: เมื่อเชื่อมต่อ CarPlay จะไม่มี Notification แสดงบน iPhone และไม่สามารถใช้งาน iPhone ได้ และเมื่อมีคนส่งข้อความมาหา จะมีข้อความตอบกลับอัตโนมัติว่ากำลังขับรถอยู่ จะตอบกลับภายหลัง
Home
- รองรับ Speaker ภายในบ้าน
- AirPlay 2: สามารถเล่นเพลงได้พร้อมกันหลาย ๆ ลำโพงพร้อมกัน, สามารถแชร์เพลงจาก Apple Music, สามารถใช้งานกับ Apple TV รุ่นใหม่ได้
- เปิด AirPlay 2 audio API ให้นักพัฒนา
Apple Music
- สามารถกด Follow เพื่อนที่ใช้ Apple Music ได้ และดูว่าเพื่อนฟังเพลงอะไร, Playlist ไหนบ้าง
- เปิดตัว MusicKit for Apple Music
App Store
- ไอคอนใหม่ หน้าตาเหมือนกับ tvOS
- ดีไซน์ใหม่ทั้งหมด มาพร้อม 5 แถบใหม่ ได้แก่ Today, Games, Apps, Updates และ Search
- Today: แสดงคลิปตัวอย่างสั้น ๆ เนื้อเรื่องของเกม เทคนิคต่าง ๆ ของแอพที่ถูกแนะนำในวันนี้
- Games & Apps: สามารถกดดูเนื้อเรื่องย่อของเกม คลิปวิดีโอวิธีเล่น แนะนำเกม และดูคะแนนรีวิวได้ง่ายขึ้น และเมื่อเราทำการรีวิวแอพ นักพัฒนาสามารถตอบกลับรีวิว คอมเมนท์ของเราได้
Siri
- Multi Results: สามารถแสดงผลการค้นหาได้หลายอย่างในการค้นหาครั้งเดียว
- Translation (Beta): สามารถแปลภาษาและกดให้ Siri พูดได้ทันที โดยตอนนี้รองรับแค่ ภาษาอังกฤษ แปลเป็นภาษาจีน, เยอรมัน, ฝรั่งเศส, อิตาลี และสเปน
- รองรับ Workout, สแกน QR Code, Car Controls, VoIP Calling, การค้นหารูปภาพ, การจ่ายเงินต่าง ๆ
- Siri สามารถใช้งานระหว่างอุปกรณ์ได้ เช่น ตั้งนาฬิกาปลุกจาก Mac และ Siri จะไปตั้งปลุกให้ใน iPhone ซึ่งเวอร์ชันปัจจุบันทำไม่ได้
Camera
- มาพร้อมเทคโนโลยี High Efficieny Video Coding (HEVC) ที่จะทำให้บีบอัดข้อมูลได้มากขึ้น 2 เท่า ทำให้ภาพและวิดีโอมีขนาดไฟล์เล็กลงในขณะที่คุณภาพเท่าเดิม
- ปรับปรุงคุณภาพจาก Portrait Mode ใหม่, ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น, ปรับปรุงระบบกันสั่น, True Tone Flash, HDR
- เปิดตัว Depth API ให้กับนักพัฒนา
Photos
- Portrait Movie: สามารถสร้างวิดีโอจาก Memories ซึ่งสามารถแสดงได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
- Live Photos: สามารถทำ Trim, เลือกรูปให้เป็นรูปหลัก, ปิดเสียงได้, ทำเป็น Loop, Bounce และสามารถสร้างรูปที่มี Long Exposure เหมือนบนกล้อง DSLR ได้
Control Center
- ออกแบบหน้าตา Control Center ใหม่ทั้งหมด โดยรวมหน้า Now Playing และ Home อยู่ในหน้าเดียว
- สามารถใช้ 3D Touch ในการค้นหาปุ่มฟังก์ชันอื่น ๆ เพิ่มเติมได้
Machine Learning
- iOS 11 สามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้ได้ ซึ่งจะคาดเดาสิ่งที่เรากำลังจะพิมพ์ โดยแอปเปิลให้คอนเซ็ปของเทคโนโลยีนี้ว่า จะเป็นการคาดเดาสิ่งที่เราต้องการ และทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น
- เปิดตัว CoreML ให้กับนักพัฒนา
Augmented Reality (AR)
- แอปเปิลสาธิตการใช้ AR ในการสร้างงานกราฟฟิกในชีวิตจริง ซึ่งจะใช้กล้อง, CPU, GPU และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ในเครื่องเพื่อใช้งานเทคโนโลยี AR
- เปิดตัว ARKit ให้กับนักพัฒนา
iPad + iOS 11
- The Dock: สำหรับบน iPad แอปเปิลได้ออกแบบ Dock ใหม่ให้สามารถใส่แอพได้มากขึ้น ซึ่งหน้าตาจะเหมือน Dock บน macOS ซึ่งเราสามารถเรียก Dock ขึ้นมาเพียงแค่ใช้นิ้วปาดขึ้นจากด้านล่าง
- Multitasking: ขณะที่เราเปิดแอพหนึ่งอยู่ เราสามารถลาก Dock ขึ้นมาและลากแอพจาก Dock มาเพื่อเปิดอีกหน้าต่างหนึ่ง ซึ่งสามารถแสดงเป็นแบบ Pop-up หรือแบบ Split View เหมือนกับ iOS 10 ได้
- App Switcher: มีการออกแบบ App Switcher ใหม่ โดย Control Center จะย้ายไปอยู่ด้านข้างของ App Switcher เนื่องจากเมื่อปาดนิ้วขึ้นจะเปลี่ยนเป็น Dock แล้ว
- Drag & Drop: เมื่อเราเปิดแอพ 2 แอพพร้อมกัน เราสามารถลาก URL, รูปภาพ, ตัวอักษร และอื่น ๆ ข้ามไปยังอีกแอพนึงได้
- Multi-Select: เมื่อเราทำการเลือกไฟล์หรือรูปภาพ เราสามารถใช้นิ้วอีกมือจิ้มรูปอื่นเพื่อเลือกหลาย ๆ รูปได้
- QuickType: เราสามารถใช้นิ้วปาดลง เพื่อพิมพ์ตัวอักษรที่อยู่ด้านบน โดยไม่ต้องกด Shift
- File: แอพ File จะเป็นการรวมบริการ Cloud ทั้งหมดมาไว้ในที่เดียวกัน เช่น iCloud Drive, Dropbox, Google Drive เป็นต้น โดยสามารถ ใส่ Tag, ทำ Favorite Folder ได้
- Markup: สามารถใช้นิ้วหรือ Apple Pencil วาดหรือเขียนโน้ตลงไปใน Safari, ไฟล์ PDF ได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งแอพนอก และเมื่อทำการแคปหน้าจอเราสามารถเขียนอะไรลงไปบนรูปได้เลยโดยไม่ต้องเข้าไปที่ Camera Roll
- Instant Notes: สามารถใช้ Apple Pencil เคาะที่หน้า Lock Screen แล้วจะเด้งไปที่หน้า Notes ได้ทันที
- Searchable writing: สามารถพิมพ์ค้นหาข้อความที่เราเขียนลงไปได้
- Inline drawing: สามารถแทรกรูปที่วาดลงไปบน Notes ได้
- Document Camera: สามารถถ่ายรูปหรือสแกนเอกสารได้แล้ว
เครื่องไหนรองรับบ้าง ??
สำหรับ iPhone ตอนนี้แอปเปิลได้ลอยแพ iPhone 5 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วน iPad ตอนนี้รองรับ iPad รุ่นที่ 5 ที่พึ่งเปิดตัวไป, iPad mini 2 ขึ้นไป, iPad Air 1 และ 2, iPad Pro ทุกรุ่น และ iPod touch รุ่นที่ 6 ตามภาพด้านล่าง
เรียบเรียงโดยทีมงาน MacThai
займ на карту мгновенно круглосуточно без отказа 15000