ข้อมูลเพิ่มเติม Apple Card: ปลอดภัยสูง, ทำงานร่วมกับ Wallet เต็มตัว, ไม่ขายหรือใช้ข้อมูลทำการตลาด
หลังจาก Apple ได้เปิดตัวบัตรเครดิตของตัวเองไปแล้วในชื่อว่า Apple Card ซึ่งเป็นบัตรเครดิตที่ Apple ดีไซน์เองตั้งแต่ต้นจนจบ โดยได้พาร์ทเนอร์เครือข่ายชำระเงินคือ Mastercard และธนาคารผู้ให้สินเชื่อคือ Goldman Sachs
วันนี้ ทีมงาน MacThai จะมารวบรวมข้อมูลให้รับทราบกันอีกครั้งว่า บัตรเครดิต Apple Card ซึ่งเป็นบัตรเครดิตที่ Apple ออกเองโดยใช้สโลแกนว่า “A new kind of credit card. Created by Apple, not a bank.” จะมีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้าง
Apple Card และ Wallet ทำงานร่วมกัน
จุดที่น่าสนใจที่สุดของ Apple Card คือตัวบัตรเครดิตจะทำงานร่วมกับแอป Wallet ที่อยู่ใน iOS ซึ่งจะทำให้ Apple นำระบบต่าง ๆ มาใช้กับ Apple Card ได้เต็มที่ โดยเฉพาะ machine learning ที่ Apple จะใช้ร่วมกับระบบระบุตำแหน่งที่อยู่ และระบุเป็นรายการซื้อสินค้าว่ามาจากอะไร ทำให้ผู้ใช้อ่านได้ง่ายขึ้น
การเขียนระบุรายการซื้อสินค้าว่ามาจากไหนถือเป็นจุดขายหลักอย่างหนึ่งของ Apple Card เลยก็ว่าได้ เพราะการใช้บัตรเครดิตในต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะซื้อสินค้าที่ไหนก็ใช้บัตรเครดิต ทำให้เมื่อสรุปยอดสิ้นเดือนมาแล้วก็จะพบปัญหา เพราะ statement มักจะเขียนเป็นข้อมูลที่บางครั้งก็อ่านไม่รู้เรื่องและต้องมาคอยเดาอยู่เสมอ
นอกจากระบุว่าซื้อที่ไหนแล้ว เมื่อกดเข้าไปดู Apple ก็จะแสดงภาพบนแผนที่ให้เลยว่ารายการใช้จ่าย Apple Card มาจากที่ไหน สินค้าราคาเท่าไร เป็นสินค้าหมวดไหน ได้ Daily Cash กี่เปอร์เซ็นต์
ต่อไปก็เป็นเรื่องการจ่ายบิล Apple ก็นำระบบ ring ของ Apple Watch มาใช้ให้เป็นประโยชน์ บอกมาเลยว่าค่าบัตรเครดิตเดือนนี้เท่าไร ถ้าจ่ายไม่เต็มจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเดือนหน้าเท่าไร ซึ่งต่างจาก statement บัตรเครดิตทั่วไปที่จะบอกแค่ยอดเต็มเท่าไรและยอดจ่ายขั้นต่ำเท่าไร ส่วนมากไม่มีบอกว่าจ่ายไม่เต็มจะโดนดอกเบี้ยเท่าไร ต้องคำนวณเอาเอง ซึ่งดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นโหดมาก ๆ และหลายคนมักจะคำนวณผิด
Apple Card ไม่มีลายเซ็น
Mastercard เพิ่งจะเปลี่ยนกฎเมื่อไม่นานมานี้ว่า บัตรเครดิตไม่จำเป็นต้องใช้ลายเซ็นเพื่อยืนยันตัวตนอีกแล้วในสหรัฐฯ ดังนั้น Apple Card จึงไม่ต้องมีลายเซ็น ไม่ว่าจะเป็นทั้งตัวบัตรไทเทเนียม หรือบัตรเสมือนในแอป Wallet ก็ตามที
ทั้งนี้ หากซื้อของมูลค่าสูงจากร้านค้าบางแห่ง อาจจะขอเรียกดูบัตรบางอย่างจากผู้ใช้เพื่อยืนยันตัวตนได้เช่นกัน
Apple Card คิดดอกเบี้ยโปร่งใส ไม่มีค่าปรับ ไม่มีค่าธรรมเนียมรูดต่างประเทศ
Apple ระบุว่า บัตรเครดิต Apple Card จะไม่มีอัตราดอกเบี้ยค่าปรับ (penalty interest rate) คือ Apple Card จะไม่มีค่าปรับ หรือค่าจ่ายช้า คือผู้ใช้จะต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยของยอดค้างชำระตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนี้จะไม่มีการเพิ่ม (หรือว่าง่าย ๆ คือไม่มีดอกเบี้ยค่าปรับ) แต่ถ้าจ่ายช้าจะมีผลต่อคะแนนเครดิตของลูกค้าเองซึ่งเป็นไปตามกฎของบัตรเครดิต
ส่วนค่าธรรมเนียมที่ผู้ใช้บัตรมักจะเจอ เช่นค่าความเสี่ยงแปลงสกุลเงินเมื่อรูดเป็นเงินต่างประเทศ Apple จะไม่คิดเพิ่ม แต่สิ่งที่ควรทราบคือ Apple จะใช้เรทแปลงสกุลเงินของ Mastercard ซึ่งไม่ใช่ fixed rate
Apple Card อยากเปลี่ยนเลขบัตรเมื่อไรก็ได้ แถมระบบรักษาความปลอดภัยอีกเพียบ
Apple ระบุว่า เลขบัตรเครดิตของลูกค้าสามารถกดขอใหม่ได้ ซึ่งจะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ผู้ใช้จำเป็นต้องกรอกบัตรเครดิตแต่ไม่ไว้ใจความปลอดภัยของเว็บไซต์นั้น ๆ แต่การขอเลขบัตรใหม่ผู้ใช้จะต้องกดเอง ไม่มีระบบเลขบัตรใช้ครั้งเดียวหรือระบบออกเลขบัตรใหม่แบบอัตโนมัติ
นอกจากเรื่องการเปลี่ยนเลขบัตรแล้ว Apple Card ยังต้องยืนยันตัวตนด้วย Touch ID หรือ Face ID ทุกครั้งที่จ่ายเงินผ่าน Apple Pay หรือถ้าจะเอาเลขบัตรไปใช้จ่ายออนไลน์ ขั้นตอนการจะเอาเลขบัตรออกมานั้นก็ต้องใช้ Touch ID หรือ Face ID ด้วยเช่นกัน
Apple Card ให้แคชแบค เพราะมันง่าย
ด้วยสไตล์ Apple นั้น มักจะทำอะไรให้ง่ายอยู่แล้ว ซึ่ง TechCrunch ระบุว่าจากที่ได้สอบถามมาพบว่า Apple ต้องการทำให้ Apple Card เรียบง่ายที่สุด ให้สิทธิประโยชน์จากบัตรที่เป็นสากลที่สุด ผลจึงออกมาเป็น Daily Cash หรือแคชแบคเข้า Apple Pay Card โดยอัตโนมัติ เพื่อให้เห็นเป็นตัวเงินที่ผู้ใช้จะเอาไปใช้อะไรต่อก็ได้ ในขณะที่แต้มบัตรเครดิตจะยุ่งยากกว่ามาก เพราะมูลค่าไม่คงตัว บางครั้งต้องรอช่วงโปรโมชั่นจึงจะแลกได้คุ้มค่า
Apple Card บัตรจริง ไม่มี contactless ไม่มี CVV ไม่มีวันหมดอายุ จัดการได้จากแอป Wallet
สำหรับบัตรจริงของ Apple Card ที่ทำมาจากไทเทเนียมนั้น Apple จะไม่มี contactless หรือระบบจ่ายเงินไร้สัมผัส ถ้าจะใช้ให้ไปใช้บัตรเสมือนแทน ส่วน CVV หรือวันหมดอายุก็ไม่มีเช่นกัน ในบัตรจะมีเพียงชื่อ, นามสกุล, โลโก้ Apple และเลขบัตร 4 หลักสุดท้ายเท่านั้น โดยเลขบัตร 4 หลักสุดท้ายจะอยู่ใกล้ ๆ แถบแม่เหล็ก และข้อมูลทุกอย่างบนตัวบัตรก็จัดการได้ผ่านแอปอยู่แล้ว
ตัวบัตรแข็ง Apple Card เองนั้น ตัวเลขอาจไม่ใช่ตัวเลขเดียวกับบัตรในแอปก็ได้ และตัวบัตรจริง ๆ ก็โชว์แค่เลข 4 หลักสุดท้าย ถ้าบัตรหายก็กดขอใหม่ได้ฟรี หรือจะสั่งล็อกบัตรจากตัวแอปก็ได้ทำเช่นเดียวกัน
Apple Card ไม่ขายข้อมูลลูกค้าเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด
Apple ชูโรงเรื่องความเป็นส่วนตัว โดยระบุว่า Apple เองจะไม่มีการเก็บข้อมูลว่าลูกค้าใช้ Apple Card ทำอะไรบ้างในเซิร์ฟเวอร์ของ Apple เอง ส่วนสถาบันการเงินที่ให้บริการอย่าง Goldman Sachs นั้น Apple ระบุว่าจะไม่นำข้อมูลลูกค้าไปขายเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด ข้อมูลที่ Goldman Sachs เห็นนั้นจะนำไปใช้เพื่อรายงานภายใน ไม่ใช้เพื่อนำไปรายงานภายนอก, ทำการตลาดหรือโฆษณาภายใน
ทั้งนี้ เนื่องจาก Apple Card เป็นบัตรเครดิต ดังนั้นก็ Goldman Sachs ก็ต้องใช้ข้อมูลเพื่อทำตามกฎหมายด้านการเงินของลูกค้า แต่ข้อมูลเหล่านี้จะถูกใช้เพื่อการดำเนินงานเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อทำการตลาดหรือโฆษณา
สรุป
Apple ขาย Apple Card โดยเน้นที่ความปลอดภัยในการใช้บัตร ความสะดวก และความเป็นส่วนตัว ซึ่ง Apple ออกแบบโดยใช้ pain point ที่ผู้ใช้บัตรเครดิตต้องพบอยู่ในปัจจุบันมาเป็น Apple Card เพื่อให้ลูกค้ามีความสะดวกสบายในการใช้งานบัตรเครดิตบน Apple Pay มากยิ่งขึ้น
ที่มา – 9to5Mac, 9to5Mac (2), (3), TechCrunch



