[vc_row][vc_column][vc_row_inner][vc_column_inner width=”1/6″][/vc_column_inner][vc_column_inner width=”2/3″][vc_column_text]ถึงแม้ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus จะเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด แต่ก็กลับถูกกระแสของ iPhone X บดบังไปมาก แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว แม้จะมาด้วยดีไซน์เดิม แต่แอปเปิลก็ปรับทุกส่วนที่คุณสามารถมองเห็นได้บนเครื่องนี้
ซึ่ง iPhone 8 ก็มาพร้อมกับกล้องสุดเทพ, ระบบชาร์จไร้สาย, ตัวเครื่องหรูขึ้นด้วยกระจก, จอใหม่แบบ True Tone และชิป A11 ที่ถือว่าแรงที่สุดในโลกสมาร์ทโฟนตอนนี้แล้ว
ทางทีมงาน MacThai ได้ทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มาทดสอบตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย และไม่พลาดที่จะนำมาให้ทุกคนได้ลองดูคุณภาพ ว่าสุดท้ายจะดีสมกับที่ได้ชื่อใหม่ว่า “iPhone 8” จริง หรือจะเป็นแค่ “iPhone 7s” กันแน่
ก่อนที่จะลงรายละเอียดเราจะมาทบทวนเสป็คคร่าว ๆ ของ iPhone 8 กันก่อน ซึ่งทางทีมงานยกจุดหลัก ๆ มาได้ดังนี้
- มาพร้อมดีไซน์แบบใหม่ กระจกทั้งหน้าหลัง พร้อมด้วยสีที่สวยหรูกว่าเดิม
- กล้องสุดเทพบน iPhone 8 และกล้องคู่บน iPhone 8 Plus ที่มาพร้อมการอัพเกรดและฟีเจอร์การถ่ายรูปใหม่ ๆ
- ซีพียูที่แรงที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟน ณ ตอนนี้ พร้อมแนวคิดแบบนิวรอล รองรับ Machine Learning และ AR
- สามารถชาร์จแบบไร้สาย และ Fast Charging ได้
- มาพร้อม iOS 11 ที่มอบประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมที่สุด
แกะกล่องรีวิว iPhone 8
สำหรับ iPhone ที่ทางทีมงานจะมารีวิวกันวันนี้คือ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ขนาดความจุ 64 GB สีทอง (Gold) ซึ่งทางทีมงานเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงในด้านการดีไซน์และสีสันแบบเห็นชัดเจนที่สุด
iPhone 8 นั้นมาพร้อมสีที่ให้เลือกน้อยลง จากเดิมที่เรามีตัวเลือกที่จะเลือกสีได้ถึง 6 สี ตั้งแต่ Silver, Jet Black, Black, Gold, Rose Gold และ Product Red บน iPhone 7 นั้น Apple ได้ทำการตัดสีอื่น ๆ ออกไปทำให้ iPhone 8 มีสีตัวเลือกเพียงดังนี้
- สี Space Grey ที่มาพร้อมอลูมิเนียมขอบข้างสีเทา และกระจกหลังสีเทามืด
- สี Gold สีที่เราจะมาชมกันในวันนี้ อลูมิเนียมขอบสีทอง พร้อมกระจกหลังสีทองออกชมพู
- สี Silver สีคลาสสิก ขอบข้างสีเงิน และกระจกหลังสีขาว
สีทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากกระบวนการลงหมึก 7 ชั้นแบบพิเศษของ Apple
ในด้านของความจุนั้น Apple ก็มีมาให้เลือกเพียงแค่ 2 ความจุ ได้แก่ 64 GB และ 256 GB ทำให้สามารถสรุปได้ว่า Apple อาจจะพยายามลดรุ่นของ iPhone ลงเพื่อให้สามารถกระจายสินค้าไปให้ลูกค้าได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็วมากขึ้น
เช่นเดียวกับรุ่นก่อน กล่องของ iPhone 8 Plus จะมีขนาดใหญ่กว่าของ iPhone 8 เล็กน้อย ด้านข้างพิมพ์คำว่า iPhone ส่วนด้านหนากล่องจะเป็นรูป iPhone หันหลังออก เพื่อให้สามารถทราบได้ทันทีว่า iPhone ในกล่องเป็น iPhone สีอะไร
เมื่อแกะกล่องออกมาเราก็จะพบกับภาพที่คุ้นเคย คู่มือการใช้งาน เอกสารรับประกัน และสติกเกอร์ Apple ถูกใส่ไว้ในซองกระดาษสีขาวเขียนว่า Design by Apple in California เมื่อยกออกถึงจะเผยให้เห็น iPhone ของเรานอนอยู่ และเมื่อหยิบ iPhone ออกมา ก็จะพบกับ หูฟัง สายชาร์จ และหัวต่อสำหรับทำการชาร์จ
สิ่งแรกที่ได้เห็นกับตัวหูฟังอาจจะทำให้ตกใจเล็กน้อยว่า Apple แถม AirPods มาให้หรือเปล่า แต่ก็ต้องเสียใจด้วยเนื่องจากหูฟังที่ Apple แถมมานั้นเป็น EarPods พร้อมหัวต่อแบบ Lightning เช่นเดียวกับ iPhone 7 เท่านั้น แต่ก็มาพร้อมกับตัวแปลงจาก Lightning เป็น หัวต่อแบบ 3.5 สำหรับหูฟังปกติทั่วไป
หนาและหนักกว่าเดิมเล็กน้อย
แม้ว่า iPhone 8 และ 8 Plus จะใช้ดีไซน์ร่วมกับดีไซน์ของ iPhone 6 ย้อนกลับไปในปี 2014 แต่ iPhone รุ่นที่เปิดตัวมาหลังจากนั้นก็หนักขึ้นและหนาขึ้นตามลำดับ อาจจะเป็นเพราะว่า Apple พยายามเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้กับ iPhone อยู่เสมอ แต่ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ประสบการณ์การใช้งาน iPhone แย่ลงแต่อย่างใด
iPhone 8 และ 8 Plus สามารถใส่เคสเดิมของ iPhone 7 ได้อย่างพอดี ไม่ต้องซื้อเคสใหม่ เพราะมีความหนาเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
- iPhone 8 หนัก 148 กรัม หนา 7.3 มม.
- iPhone 8 Plus หนัก 202 กรัม หนา 7.5 มม.
สาเหตุที่ทำให้ iPhone มีน้ำหนักมากขึ้นก็เพราะว่ากระจกด้านหลังนั่นเอง
หากนำมาวางซ้อนกันจะเห็นได้ว่า iPhone 8 Plus จะหนากว่า iPhone 8 อยู่เล็กน้อย อีกหนึ่งการออกแบบที่หลายคนรู้สึกขัดใจก็คือกล้องที่ยังคงนูนออกมาที่ทำให้ iPhone ไม่สามารถวางบนพื้นผิวเรียบสนิทแล้วไม่งอกแงกได้ นี่ก็อาจจะเป็นเพียงเหตุผลเดียวที่เราสามารถรู้สึกรำคาญได้ เพราะอย่างไรก็ตาม กระจกของกล้องด้านหลังนั้น Apple บอกว่าทำจากแซฟไฟร์คริสตัล ที่แข็งแรงเป็นอันดับที่สองรองจากเพชร ทำให้ไม่ต้องห่วงว่าเมื่อวางกับพื้นโต๊ะแล้วจะทำให้เกิดรอยขีดข่วน
ดีไซน์กระจกสุดหรู
เมื่อดูด้านหลังแล้ว เราจะเห็นว่าโลโก้ Apple อยู่ใต้กระจก ทำให้เมื่อเอานิ้วไปลูบจะสัมผัสได้ว่าเป็นเนื้อเดียวกันสนิท ต่างกับรุ่นก่อนที่เมื่อลูบแล้วจะสัมผัสได้ถึงรอยต่อระหว่างโลโก้กับหลังเครื่อง iPhone 8 นั้น ไม่มีตรา FCC ด้านหลังเครื่องอีกต่อไป เหลือไว้เพียงคำว่า iPhone ทำให้ iPhone 8 ดูเรียบมินิมอลขึ้นอย่างมาก
ในด้านวัสดุ iPhone 8 ทำจากอะลูมิเนียมซีรีส์ 7000 ที่ใช้เป็นแบบเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ส่วนในเรื่องของกระจกนั้น Apple เคลมว่าวัสดุที่ใช้เป็นกระจกที่แกร่งที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนหนาขึ้นอีก 50% ทำให้ไม่ต้องห่วงว่าจะเป็นรอยได้ง่าย สำหรับหน้าจอยังคงเคลือบสารกันรอยนิ้วมือเช่นเคย
ยังคงกันน้ำและฝุ่น
ยังคงกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 ทำให้เราสามารถทำน้ำหกใส่ iPhone ได้ หรือใช้ iPhone กลางฝนได้ แต่อย่างก็ตามอย่าลืมว่า Apple ยังไม่รับประกันความเสียหายที่เกิดขึ้นจากของเหลว
ข้อสังเกตที่บอกได้ชัดว่า iPhone 8 และ Plus กันน้ำก็คือมีเคลือบซีลกันน้ำที่ถาดใส่ซิม นั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามให้ใครที่มีความคิดว่าจะเอา iPhone ไปถ่ายเล่นใต้น้ำ อาจจะต้องคิดซักนิด แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ เนื่องจากคนก็ทำเช่นนี้กันเป็นเรื่องปกติกันอยู่แล้ว หรือบางคนก็เอา iPhone เข้าไปเล่นตอนอาบน้ำเป็นปกติ
เปิดเครื่องตั้งค่า
iPhone 8 นั้นรัน iOS 11 ซึ่ง Apple ก็ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่มาให้นั่นคือเราสามารถย้ายข้อมูลจาก iPhone เครื่องเก่ามายัง iPhone เครื่องใหม่โดยที่แทบไม่ต้องทำอะไรยุ่งยากเลย เดียงแค่นำ iPhone เครื่องเก่ามาวางไว้ใกล้ ๆ หน้าจอก็จะโชว์ว่าตรวจพบ iPhone ใหม่
หลังจากนั้นที่ iPhome เครื่องใหม่ก็จะขึ้นหน้าจอแอนิเมชั่นให้เราเอา iPhone เดิมของเราไปส่อง คล้ายกับการเชื่อมต่อ Apple Watch กับ iPhone และหลังจากนั้นระบบก็จะทำการดึงข้อมูลที่ต้องใช้ ไม่ว่าจะเป็น Login Apple ID การ sync ข้อมูลต่าง ๆ ให้เราได้ทันทีโดยไม่ต้องกดทำเองหลาย ๆ ขั้นตอน
Apple นั้นมีความพยายามที่จะทำให้ iPhone ถูกใช้งานเป็นอุปกรณ์เพียงเครื่องเดียวของคนในยุคปัจจุบันได้ หากจำกันได้เดิมทีนั้นตอนซื้อ iPhone ใหม่ เราต้องต่อเข้ากับ iTunes เพื่อทำการ Setup หลังจากนั้นใน iOS 5 เป็นต้นมา Apple เสนอแนวคิดที่ว่าคนเราสามารถมี iPhone หรือ iPad เพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องทีคอมพิวเตอร์ก็ได้ จึงเปลี่ยนจากการต่อเข้า iTunes เป็น Setup เครื่องได้ทันที และใน iOS 11 Apple ก็ทำให้ง่ายขึ้นด้วยการย้ายข้อมูลด้วยวิธีการเอา iPhone เครื่องเดิมมาวางไว้ใกล้ ๆ แล้วแสกนโค้ดเท่านั้น
จอ Retina HD display
หน้าจอของ iPhone 8 เป็นแบบความกว้างของสี P3 ซึ่งอธิบายง่าย ๆ ก็คือสามารถแสดงสีได้กว้างกว่าหน้าจอทั่วไป ภาพที่เราเห็นบน iPhone ทำให้นอกจากจะคมชัดแล้วยังมีสีสันที่สดและมองเห็นความแตกต่างของสีในโทนเดียวกันได้มากกว่า
ในด้านของความละเอียดหน้าจอยังคงเท่าเดิมกับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แต่ Apple ได้อัพเดทให้ iPhone 8 ทั้งสองมีความสว่างสูงสุด 625 cd/m2
และเช่นเดิมหน้าจอ iPhone 8 เคลือบสารกันรอยนิ้วมือ และรองรับ 3D touch ระบบรับแรงกดของหน้าจอ[/vc_column_text][/vc_column_inner][vc_column_inner width=”1/6″][/vc_column_inner][/vc_row_inner][vc_row_inner][vc_column_inner][vc_single_image image=”58720″ img_size=”full” alignment=”center”][/vc_column_inner][/vc_row_inner][vc_row_inner][vc_column_inner width=”1/4″][/vc_column_inner][vc_column_inner width=”1/2″][vc_column_text]
True Tone ปรับสีให้เข้ากับไฟแวดล้อม
Apple ได้อัพเดทหน้าจอของ iPhone 8 ให้รองรับเทคโนโลยี True Tone หน้าจอที่สามารถเปลี่ยนสีไปตามบรรยากาศแวดล้อมได้ นั่นหมายความว่าถ้าเราอยู่ในที่ที่แสงไฟเป็นสีส้ม หน้าจอของเราก็จะส้มตามเพื่อให้กลืนไปกับบรรยากาศแสงโดยรอบ ทำให้เรารู้สึกสบายตาขึ้น และไม่รู้สึกขัดตาเวลาอ่านตัวอักษรดำบนพื้นขาว
หากดูจากภาพที่ถ่ายในห้องมืดที่ใช้แสงไฟแบบ Warm light จะพบว่าหากเปิดโหมด True Tone จะเห็นว่าหน้าจอจากสีขาวจะมีความอุ่นขึ้นไปพร้อมกับบรรยากาศแสงไฟในห้อง ทำให้ใครที่ชอบเล่นมือถือในห้องนอนตอนกลางคืนหรือในห้องที่ไฟส้มสบายตามากขึ้น
ซีพียูใหม่ เร็วแรงระดับ MacBook Pro
สำหรับชิปประมวลผลบน iPhone 8 นั้น ก็คือ A11 Bionic ในงานเปิดตัว Apple เคลมว่าเร็วกว่าชิป A10 Fusion บน iPhone 7 ถึงสองเท่า ทำให้ต้องมีการนำมาเทสกันซักหน่อย สำหรับแอพที่ทีมงานใช้ในการเทสก็คือ Geekbench
หลังจากที่ได้ลองทดสอบก็ตกใจอย่างมาก เนื่องจาก A11 Bionic ได้รับคะแนนจากการทดสอบแบบ Single core ถึง 4,248 คะแนน และแบบ Multi-core สูงถึง 10,0048 คะแนน เรียกได้ว่าแรงเท่ากับ MacBook Pro เลย
ด้วยเหตุนี้ทำให้กล้าพูดได้ว่าจะเล่นเกม แต่งรูป หรือตัดต่อวิดีโอบน iPhone 8 ยังไงก็ไม่มีกระตุกหรือช้าให้เห็นแน่นอน เพราะแอพที่อยู่บน App Store ล้วนแล้วแต่ได้รับการตรวจกรอกจาก Apple ว่าจะสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้หมดคำถามว่า จะลงเกมนี้ได้ไหม หรือจะเล่นเกมนี้ได้ไหม
ทางทีมงานได้ลองเล่นเกม ROV เกมแนว moba ยอดฮิตบนสมาร์ทโฟน หลังจากที่ได้ลองเล่นไปชั่วโมงกว่าก็พบว่าแบตบน iPhone 8 Plus ลดลงไปเพียงแค่ 10% เท่านั้น นอกจากจะแรงแล้วยังมีระบบการจัดการพลังงานที่ดีเยี่ยมอีกด้วย
โลกเสมือนจริงแห่ง AR
ชิป A11 Bionic บน iPhone 8 นั้นเป็นการรองรับ AR อย่างเต็มรูปแบบ ผู้สร้างสรรค์แอพสามารถใช้งาน AR Kit ในการสร้างแอพที่วางวัตถุเสมือนบนโลกของความเป็นจริงได้ เช่นในแอพ Sky Guide AR ที่แสดงภาพของกลุ่มดาวและเทหวัตถุต่าง ๆ บนท้องฟ้า เฉพาะส่วนที่มองเห็นจริง ๆ เท่านั้น ถ้าอยู่หลังสิ่งปลูกสร้างหรือต้นไม้ก็จะมองไม่เห็นดาว
กล้องใหม่สุดเทพ
มาถึงเรื่องที่ทุกคนน่าจะอยากรู้มากที่สุดคือเรื่องกล้อง iPhone 8 นั้นมีรายละเอียดของกล้องดังนี้
- กล้องบน iPhone 8 ความละเอียด 12MP
- กล้องหน้า FaceTime HD ขนาด 7 ล้านพิเซล
- ทั้งคู่มาพร้อมกับ True Tone flash หรือไฟแฟลช LED แบบสองสี ทำให้เมื่อยิงใส่ผิวแล้ว สีที่ได้ออกมาจะเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น มากกว่าการใช้ไฟแฟลชสีขาวเพียงอย่างเดียว
- กล้องบน iPhone 8 Plus มีสองตัวตัวละ 12 MP รูรับแสงกล้องมุมกว้าง ƒ/1.8 กล้องเทเล ƒ/2.8
- ทั้งสองเป็นระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล จากเดิมที่มีเฉพาะรุ่น Plus
- กระจกเลนส์ยังคงเป็นแซฟไฟร์ป้องกันหน้าเลนส์ แซฟไฟร์เป็นวัสดุที่มีความแข็งรองจากเพชร ทำให้ทดต่อการขีดข่วนได้ระดับดีเยี่ยม
เรียกได้ว่าเป็นการเพิ่มความสามารถให้กล้องเล็กน้อย กล้องทั้งคู่ยังคงมีความละเอียดที่ 12 ล้านพิเซล แต่ก็มีขนาด sensor ที่ใหญ่มากขึ้น ที่เหลือก็จะรองรับฟีเจอร์เดิม ๆ เช่น Focus Pixel ที่ทำให้โฟกัสได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว และยังคงรองรับการถ่ายภาพแบบ Live Photos ภาพถ่ายเคลื่อนไหว
ถ่ายรูปและวิดีโอสนุกขึ้นกว่าเดิม
ในด้านของ Hardware กล้องอาจจะไม่โดนเด่นเท่าสิ่งที่อัพเดทเข้ามาในส่วนของซอฟแวร์ เนื่องจาก Apple ได้ทำการปรับปรุง iOS 11 ให้รองรับลูกเล่นการถ่ายภาพมากขึ้น ดังนี้
- หน้าชัดหลังเบลอดีกว่าเดิม
- จัดแสงภาพถ่ายบุคคลได้ (Portrait Lightning)
ส่วนการบันทึกวิดีโอนั้นเรียกได้ว่าเทพสุด ๆ เพราะสามารถบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงมากถึง 4K แบบ 50 FPS
- ถ่ายวิดีโอได้แบบ 4K 60 เฟรม (เทพมาก ต้องกราบ)
- แบบ 1080p ได้สูงสุด 240 เฟรม (จากเดิมที่แค่ 720)
- วิดีโอนิ่งกว่าเดิมเพราะมีป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอลทั้งสองรุ่น
จัดแสงภาพ
สำหรับโหมดถ่ายภาพบุคคลบน iPhone 8 Plus นั้น Apple ได้เพิ่มลูกเล่นใหม่เข้ามาโดยใช้ความฉลาดของ A11 Bionic มาแยกแยะส่วนประกอบของภาพแล้วสร้าง Effect แสงขึ้นมาคล้ายกับการจัดแสงไฟสำหรับถ่ายรูป
- Natural light เป็นการใช้แสงธรรมชาติตามบรรยากาศสภาพแวดล้อม ณ ตอนนั้น
- Studio light เป็นการเพิ่มความสว่างของทั้งหน้าเหมือนการจัดไฟในสตูดิโอ หรือหน้าขาว
- Contour light เป็นการจัดแสงที่ให้เห็นความชัดและความลึกของหน้า ดูจริงจัง น่าเชื่อถือ
- Stage light แบบขาวดำและสี ตัดพื้นหลังออกไป ทำให้เหลือแต่ตัวเราคล้ายกับการถ่ายภาพในสตูดิโอ
สำหรับวิธีการถ่ายก็คือไปที่โหมด Portrait จากนั้นเลื่อนวงกลมเพื่อปรับโหมดการถ่าย แต่ถ้ายังเลือกไม่ได้ ณ ตอนนั้น เราสามารถถ่ายภาพแบบ Portrait ไปก่อนแล้วค่อยมาปรับแสงทีหลังได้ (ควรค่าแก่การกราบ)[/vc_column_text][/vc_column_inner][vc_column_inner width=”1/4″][/vc_column_inner][/vc_row_inner][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_single_image image=”58784″ img_size=”full” alignment=”center”][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column width=”1/4″][/vc_column][vc_column width=”1/2″][vc_row_inner][vc_column_inner][vc_column_text]แถมถ้าเราทำการปรับแต่งภาพนั้น คุณสมบัติ Portrait ของภาพก็จะไม่หายไปด้วย ทำให้เราสามารถแต่งภาพได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกลัวว่าภาพ Portrait จะกลายเป็นภาพธรรมดา
ภาพที่ถ่ายด้วย Stage Light นั้นเรียกได้ว่าเป็นก้าวที่สำคัญการถ่ายภาพบนมือถือ อย่างไรก็ตาม Apple ยังคงจัดให้มันอยู่ในช่วง Beta นั่นหมายความว่าอาจจะยังทำงานไม่ถูกต้องบ้าง แต่โดยรวมถือว่าเป็นที่น่าพอใจ
[/vc_column_text][/vc_column_inner][/vc_row_inner][/vc_column][vc_column width=”1/4″][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column width=”1/4″][/vc_column][vc_column width=”1/2″][vc_column_text]
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายบน iPhone 8 Plus
[/vc_column_text][/vc_column][vc_column width=”1/4″][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_single_image image=”58795″ img_size=”full” add_caption=”yes”][vc_single_image image=”58800″ img_size=”full” add_caption=”yes” css_animation=”bottom-to-top”][vc_single_image image=”58801″ img_size=”full” add_caption=”yes” css_animation=”bottom-to-top”][vc_single_image image=”58799″ img_size=”full” add_caption=”yes”][vc_single_image image=”58796″ img_size=”full” add_caption=”yes” css_animation=”bottom-to-top”][vc_single_image image=”58798″ img_size=”full” add_caption=”yes” css_animation=”bottom-to-top”][vc_single_image image=”58792″ img_size=”full” add_caption=”yes” css_animation=”bottom-to-top”][vc_single_image image=”58793″ img_size=”full” add_caption=”yes”][vc_single_image image=”58791″ img_size=”full” add_caption=”yes” css_animation=”bottom-to-top”][vc_single_image image=”58790″ img_size=”full” add_caption=”yes”][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column width=”1/4″][/vc_column][vc_column width=”1/2″][vc_column_text]
ฟีเจอร์อื่น ๆ ของ iPhone 8 และ 8 Plus
ยังคงมีฟีเจอร์อื่น ๆ ของ iPhone 8 ที่ต้องลองใช้งานด้วยตัวเองถึงจะสัมผัสได้เช่น
- รองรับ Fast Charge (ต้องซื้อ Adapter USB-C ของ MacBook และสาย USB-C to Lightning)
- รองรับการชาร์จแบบไร้สาย เนื่องจากด้านหลังเป็นกระจก
สำหรับการชาร์ไร้สายนั้น iPhone 8 รองรับมาตรฐาน Qi นั่นหมายความว่าสามารถใช้กับเครื่องชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi ได้หมด รวมถึงแท่นชาร์จของ Samsung
ควรอัพเกรดมาใช้หรือไม่
สำหรับคนที่ถ้าใช้รุ่นเก่ากว่า iPhone 7 เล่น iPhone 6s หรือ iPhone 6 นั้นอาจจะซื้อได้ เนื่องจากจะได้รับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยใช้มาก่อนเช่นคุณสมบัติกันน้ำ หรือกล้องคู่ (ที่มีอยู่แล้วใน iPhone 7) หรือการชาร์จไร้สาย (ที่เพิ่งมี) เพราะสำหรับ iPhone 8 นั้น จริง ๆ ก็ไม่ต่างจาก iPhone 7 มากยกเว้นถ้าอยากได้ชาร์จไร้สายหรือ CPU แรงขึ้น
จุดเด่นที่สำคัญ
- พลังประมวลผลแรงมาก รองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอนาคตไปอีกหลายปี
- กล้องทรงพลังและมีของเล่นใหม่เยอะ
- สี Gold ใหม่สวยมาก รวมถึงบอดี้กระจกของสีอื่นก็สวยงามไม่แพ้กัน
- การที่รองรับการชาร์จไร้สาย ทำให้ทุกคนเริ่มใส่ใจกับเทคโนโลยีนี้มากขึ้น เราจะได้เห็นการชาร์จไร้สายเป็นเรื่องปกติตามที่สาธารณะ
สิ่งที่ยังขัดใจ
- ยังคงใช้ดีไซน์เดิมตั้งแต่ปี 2014
- อยากให้มีเทคโนโลยี True Depth และ Face ID เหมือนบน iPhone X
- ราคาแพงเหมือนเดิมตามสไตล์ Apple
การทีดีไซน์ที่เป็นกระจกอาจทำให้ต้องระวังในการใช้งานมากขึ้น แต่หลังจากที่ได้ลองใช้แล้วแม้จะเป็นกระจกแต่ก็ขจัดรอยนิ้วมือได้ดีมาก แม้ว่าจะไม่ได้ใส่เคสก็ตาม (แต่หากใช้จริงก็ควรหาเคสมาใส่)
iPhone 8 ทางทีมงานวิเคราะห์ว่าเป็นเพียงรุ่นอัพเกรดประจำปีแต่สำหรับ iPhone ที่น่าสนจริง ๆ อาจจะต้องรอ iPhone X ซึ่งจะเปิดขายก่อนสิ้นปีนี้ และทีมงาน MacThai ก็จะรีบนำมารีวิวให้ทุกท่านได้ชมกันในโอกาสต่อไป
รีวิวและเรียบเรียงโดย ทีมงาน MacThai[/vc_column_text][/vc_column][vc_column width=”1/4″][/vc_column][/vc_row]