บทวิเคราะห์ iPhone SE เมื่อ Apple ปรับกลยุทธ์ใหม่ บุกตลาดมือถือระดับกลางเต็มสูบ !!
เปิดตัวไปแล้วกับ iPhone SE ซึ่งถือเป็นไอโฟนราคาประหยัด จอเล็ก แต่สเปคจัดเต็ม หรือที่เรียกกันว่า iPhone 6s ในร่าง iPhone 5s จนเรียกเสียงฮือฮา ทั้งแง่บวกและแง่ลบกันไป
แต่ท่ามกลางคำวิจารณ์ต่างๆ การปรับกลยุทธ์ในตลาดสมาร์ทโฟนครั้งนี้ของแอปเปิล ถือเป็นก้าวที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และส่งผลถึงแนวทางหลายอย่างในอนาคตของ iPhone อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทีมงาน MacThai จึงมีบทวิเคราะห์ทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง และอนาคตของ iPhone SE มาฝากกัน
ทำไม Apple ถึงทำ iPhone SE ?
ตั้งแต่ปี 2007 ที่แอปเปิลเปิดตัวไอโฟนรุ่นแรก เวลาผ่านไป 9 ปี แอปเปิลก็ยังคงยึดแนวทางการเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่เพียงครั้งเดียวต่อปีเท่านั้น แม้บางครั้งจะเปิดตัวพร้อมกัน 2 รุ่น แต่ก็จะเปิดตัวในเวลาเดียวกัน (เช่น iPhone 5s + 5c)
แต่กับ iPhone SE ถือเป็นครั้งแรกที่แอปเปิลตัดสินใจเปิดตัวไอโฟน “รุ่นใหม่” ที่แยกจากงานปกติ ทั้งที่ iPhone 6s เพิ่งเปิดขายไปได้ไม่ถึง 6 เดือน
คำถามคือแล้วแอปเปิลทำ iPhone SE ออกมาทำไม ? คำตอบที่เป็นไปได้ที่สุดคือการกระตุ้นยอดขายไอโฟนนั่นเอง
เชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านคงจะเคยได้ยินข่าว “ไอโฟนสร้างสถิติยอดขายใหม่ !!” มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงเพราะตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ไม่มีปีไหนเลยที่ยอดขายไอโฟนตกลง มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่แล้วจุดเปลี่ยนก็มาถึง ถ้าดูจากผลประกอบการของแอปเปิลบนภาพข้างต้น จะเห็นว่ากราฟยอดขายในปี 2015 ขึ้นสูงกว่าปี 2014 มาก นั่นเพราะกระแส iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ฟีเวอร์ โดยเฉพาะในประเทศจีน ทำให้ยอดขายไอโฟนพุ่งกระฉูด
แต่แล้วเมื่อถึงปลายปี 2015 หลังจากที่เปิดตัว iPhone 6s กระแสความฮิตกลับไม่ได้เพิ่มจากเดิมมากนัก จะเห็นว่ากราฟของต้นปี 2016 สูงกว่า 2015 แค่นิดเดียวเท่านั้น จนส่งสัญญาณว่ายอดขายของไอโฟนกำลังจะตกลงเป็นครั้งแรก !!
เรื่องนึงที่น่าสนใจคือตอนนี้แอปเปิลถือเป็น “บริษัท iPhone” อย่างแท้จริงไปแล้ว ด้วยรายได้เกินกว่า 68% ของบริษัทมาจากไอโฟน ซึ่งถือว่าสูงมากจนแอปเปิลไม่สามารถยอมให้กระแสตกลงไปได้กว่านี้อีกแล้ว
เมื่อยอดขาย iPhone 6s ไม่ฟีเวอร์เท่าเดิม แนวทางแบบเก่าไม่เวิร์ค ก็ได้เวลาปรับกลยุทธ์ใหม่กันแล้วนั่นเอง
iPhone Special Edition โผล่มาเฉพาะกิจ เอาใจตลาดกลาง
เมื่อแอปเปิลรู้ว่าไม่มีสินค้าตัวไหนที่สามารถเอาใจผู้ใช้ได้ครบทุกกลุ่ม ในอดีตเราจึงได้เห็นกลยุทธ์การปรับราคา เมื่อเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ ก็จะมีการลดราคาไอโฟนรุ่นก่อนหน้าลงตามลำดับ
- 2013 : iPhone 5s : 24,500 บาท, iPhone 5c : 19,900 บาท, iPhone 4s : 14,500 บาท
- 2014 : iPhone 6 : 25,500 บาท, iPhone 5s : 20,500 บาท, iPhone 5c : 14,500 บาท
- 2015 : iPhone 6s : 26,500 บาท, iPhone 6 : 22,500 บาท, iPhone 5s : 18,500 บาท
จะเห็นว่าถ้าเราต้องการซื้อไอโฟนในราคาที่ต่ำกว่า 19,000 บาท ก็จะมีเพียงรุ่นต่ำสุดให้เลือก ซึ่งปัญหาของไอโฟนรุ่นราคาถูกสุดคือเป็นรุ่นที่มีอายุมานานกว่า 2 ปีแล้ว
นอกจากนี้การซื้อไอโฟนรุ่นถูกสุด แม้สเปคจะเก่าไป 2 ปี แต่แอปเปิลกลับขายพร้อมใส่ iOS เวอร์ชันล่าสุดมาให้ด้วย ยิ่งทำให้เครื่องช้าลงไปอีกมาก และไม่ได้สร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้ซักเท่าไหร่ ความนิยมของไอโฟนรุ่นเล็กจึงต่ำมาก
แต่ทางเลือกของแอปเปิลก็มีไม่มาก เพราะถ้าทำไอโฟนรุ่นเล็กออกมาเจ๋งๆ คนก็จะไม่ซื้อรุ่นท็อปเช่นกัน
แก้ตัวจากความล้มเหลวของ iPhone 5c
แอปเปิลเคยพยายามบุกตลาดไอโฟนราคาประหยัดมาแล้วครั้งหนึ่งกับ iPhone 5c แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า โดยปัญหาหลักคือ iPhone 5c มีขนาดจอที่เท่ากับ 5s แถมเปิดตัวมาในเวลาเดียวกัน กับราคาที่ห่างกันแค่ 4,000 – 5,000 บาท คนย่อมอยากได้ 5s มากกว่าเป็นธรรมดา
แต่มาถึงตอนนี้ ในที่สุดแอปเปิลก็หาจุดต่างที่สำคัญที่สุดของไอโฟนรุ่นท็อปกับราคาประหยัดได้แล้ว นั่นคือ “ขนาดจอ” นั่นเอง
iPhone SE เปิดตัวมาในขณะที่ไอโฟนรุ่นพี่ทั้ง iPhone 6 และ iPhone 6s มีขนาดจอที่ใหญ่กว่าทั้งหมดเลย นั่นหมายความว่าถึงแม้สเปคจะดีแค่ไหน แต่คุณก็จะได้ขนาดจอภาพแค่ 4 นิ้วเท่านั้นนะ ถ้าอยากได้จอใหญ่ก็ต้องจ่ายมากกว่า 20,000 บาท
ใครที่เคยใช้มือถือจอใหญ่มาก่อน จะพบว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะกลับมาใช้จอเล็ก นั่นเลยเป็นเหตุที่แอปเปิลคงไม่ได้กังวลมากนักว่า iPhone SE จะแย่งตลาด 6s กับ 6 ไปซักเท่าไหร่
ตรงกันข้าม กลุ่มผู้ที่ใช้ iPhone 4s, 5, 5s, 5c เดิม ก็มีโอกาสดีมากๆ ที่จะอัพเกรดมาใช้ iPhone SE เพราะก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะซื้อมือถือราคาเกิน 20,000 บาทได้ทั้งหมด จากสถิติที่แอปเปิลเผยออกมา คือคนที่ใช้จอ 4 นิ้วยังมีอยู่จำนวนมากเลยทีเดียว
อนาคตของ iPhone SE
สตีฟ จ็อบส์เคยวางกลยุทธ์สินค้าของแอปเปิลเอาไว้แค่ 2 ส่วน นั่นคือตลาดผู้ใช้ทั่วไป (Consumer) และมืออาชีพ (Pro) ทำให้เราได้เห็นสินค้าของแอปเปิลมักจะมี 2 กลุ่มเป้าหมายอยู่เสมอ เช่น
- MacBook Air – MacBook Pro
- iPad Air – iPad Pro
- iMac – Mac Pro
ทีมงานวิเคราะห์ว่า การที่แอปเปิลเลือกใช้ชื่อ iPhone SE ซึ่งถือเป็นไอโฟนรุ่นแรกที่ไม่มีตัวเลขกำกับ นั่นถือเป็นสัญญาณของการแบ่งกลุ่มตลาดบนกับตลาดกลางออกจากกันอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
เพราะเมื่อ iPhone 7 ออกมาในช่วงปลายปี ราคาของ iPhone 6s ก็จะต้องลดลงมาแตะระดับ 20,000 บาท คำถามคือแล้ว iPhone 6 จะไปอยู่ที่จุดไหน ?
คำตอบอาจจะเป็นการเลิกขาย iPhone 6 ไปเลย แล้วเหลือขายแค่ iPhone 7, iPhone 6s, iPhone SE
และก็มีความเป็นไปได้ที่ iPhone SE จะไม่มีการอัพเดทไปอีก 1-2 ปี เพราะด้วยสเปคที่มีในตอนนี้ก็น่าจะอยู่ไปได้อีกหลายปี เช่นเดียวกับกรณี iPod Touch ที่แอปเปิลออกสเปคเทพมาครั้งหนึ่ง แล้วก็หยุดอัพเดทไปเลย 2-3 ปี
ซึ่งถ้า iPhone SE เปิดตัวในราคาช่วง 16,500 – 18,000 บาท ก็น่าจะถูกใจกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ผู้ที่อยากซื้อไอโฟนเป็นครั้งแรก และกลุ่มผู้ใช้ Android, Windows Phone ที่อยากมาใช้ไอโฟน ทำให้ iPhone SE เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเอามากๆ ในตอนนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญนี่น่าจับตาดูจริงๆ กับการมาของ iPhone SE ในครั้งนี้
เรียบเรียงโดย
ทีมงาน MacThai