เปรียบเทียบ 8 ฟีเจอร์ใหม่ที่ iOS 9 เตรียมออกมาสู้กับคู่แข่ง
หลังจากที่แอปเปิลได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ บน iOS 9 มากมายในงาน WWDC ที่ผ่านมา ซึ่งแอปเปิลเองก็หวังว่าฟีเจอร์ที่ปล่อยออกมาสามารถไปฆ่าคู่แข่งอีกหลาย ๆ รายได้ เรามาดูกันว่า 8 ฟีเจอร์เด็ด ที่แอปเปิลเตรียมออกมาสู้รบนั้นมีอะไรบ้าง
1. Apple Proactive vs. Google Now
Proactive assistant เป็นฟีเจอร์ที่จะคอยแนะนำเราในการค้นหาข้อมูลหรือการใช้งานทั่ว ๆ ไป เช่น หัวหน้าส่งอีเมลมานัดประชุม มันก็จะถามว่าจะใส่ตารางนัดประชุมนี้ลงไปในปฏิทินหรือไม่? ซึ่งฟีเจอร์นี้กูเกิลได้ทำ Google Now ออกมาตั้งนานแล้ว แต่สิ่งที่แอปเปิลเหนือกว่ากูเกิลนั่นก็คือ เรื่องความเป็นส่วนตัวและข้อมูลของผู้ใช้งาน
2. Apple Maps vs. Google Maps
หลักจากที่แอปเปิลได้ถอด Google Maps ออกจากแอพพื้นฐานตั้งแต่ iOS 6 และแอปเปิลหันมาพัฒนาแอพแผนที่ของตัวเองขึ้นมาแข่ง ซึ่งใน iOS 9 นี้ แอปเปิลได้เพิ่มความสามารถในแผนที่ของตัวเองก็คือ เพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับรถประจำทาง รถไฟต่าง ๆ และสามารถหาสถานที่น่าสนใจ เช่น ร้านอาหาร โรงภาพยนต์ ใกล้ ๆ ได้
ซึ่งต้องยอมรับว่า Apple Maps สู้ Google Maps ไม่ได้เลย เพราะแอปเปิลเองพึ่งเริ่มพัฒนาแผนที่ได้ไม่นาน และฟีเจอร์นี้รองรับแค่บางประเทศเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีประเทศไทยอีกตามเคย
3. Apple Wallet vs. Google Wallet, PayPal
Apple Wallet เป็นแอพใหม่บน iOS 9 ซึ่งทำหน้าที่เป็นกระเป๋าตังค์ของเราแบบเดียวกันกับ Passbook ใน iOS รุ่นก่อน ๆ แอพนี้จะเก็บพวกบัตรเครดิต คูปองส่วนลด สะสมแต้ม ตั๋วเครื่องบิน หรือบัตรกำนัลต่าง ๆ ซึ่งจะใช้งานคู่กับ Apple Pay
โดยคู่แข่งคนสำคัญในเรื่องกระเป๋าตังค์อิเล็กทรอนิกส์นั่นก็คือ PayPal และ Google Wallet ซึ่งสองเจ้านี้ได้เปิดให้บริการมานานแล้ว แต่ร้านค้าที่รองรับการจ่ายเงิน และจำนวนผู้ใช้ยังน้อยอยู่ และเมื่อไม่นานมานี้กูเกิลได้เปิดตัว Android Pay เพื่อหวังจะสู้กับ Apple Pay อีกแรง
แอปเปิลจึงเร่งผลักดัน เชิญชวนให้ร้านค้าเข้าร่วมโครงการจ่ายเงินด้วย Apple Pay เป็นอย่างมาก เพื่อหวังจะขึ้นเป็นที่หนึ่งในด้านการเงิน ต้องคอยดูกันยาว ๆ ว่าแอปเปิลจะมีร้านค้าและผู้ใช้ Apple Wallet และ Apple Pay มากน้อยเพียงใด
4. Apple Spotlight vs. Google Search
ใน iOS 9 นี้ Spotlight มีความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่น การแนะนำแอพที่ใช้บ่อย โชว์เบอร์คนที่โทรหายบ่อย ๆ สามารถคำนวณ แปลงสกุลเงิน หรือแม้กระทั่งหาข้อมูลในแอพต่าง ๆ ที่อยู่ในเครื่องได้ทุกแอพ
ซึ่งกูเกิลถนัดเรื่องการค้นหาข้อมูลอยู่แล้ว แถมในแอนดรอยก็มีฟีเจอร์นี้ตั้งนานแล้วด้วย แต่จุดเด่นของ Spotlight ของแอปเปิลนั้นก็คือ สามารถถาม หรือค้นหาจากในแอพต่าง ๆ ได้เครื่องได้เล่น เช่น อยากจะหาโรงแรมซักที่ เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปหาในแอพอีกต่อไป เราสามารถพิมพ์หาใน Spotlight ได้เลย
5. Apple iPad vs. Microsoft Surface
Multitasking เป็นหนึ่งในฟีเจอร์เจ๋งสุดใน iOS 9 เลยก็ว่าได้ คือสามารถใช้งานแอพต่าง ๆ ได้หลาย ๆ แอพพร้อมกัน โดยการจะแบ่งหน้าจอเป็นสองส่วน เช่น เช็คอีเมลไปด้วย จดบันทึกในปฏิทินไปด้วย
ซึ่งฟีเจอร์นี้เป็นฟีเจอร์หลักของ Microsoft Surface ที่ชอบคุยโม้ว่า iPad ใช้งานหลาย ๆ แอพพร้อมกันไม่ได้ ซึ่งใน iOS 9 นี้ iPad สามารถใช้ Multitasking ได้แล้วนะ
6. Apple News vs. Flipboard
Apple News ก็เป็นแอพใหม่บน iOS 9 เช่นกัน ซึ่งแอพนี้จะเป็นแอพที่รวมข่าว บทความจากทุกสำนักที่เราสนใจ มารวมอยู่ในแอพเดียว เพื่อความสะดวกสบาย โดยแอพนี้มาแทนแอพ Newsstand ซึ่งดูยุ่งยาก ต้องเปิดข่าวทีละเล่ม
โดยแอปเปิลเข็นแอพ News ออกมาเพื่อท้าชนแอพอ่านข่าวชื่อดังอย่าง Flipboard ซึ่งข้อดีของแอพ News นี้ก็คือการจัดหน้ากระดาษสวยงาม อ่านง่าย สบายตา สามารถกดดูรูป วีดิโอได้ทันทีอีกด้วย
7. Apple CarPlay vs Android Auto
CarPlay เป็นหนึ่งในระบบปฏิบัติการใหม่ของแอปเปิล ซึ่งจะใช้ร่วมกับรถยนต์ ทำให้รถยนต์ของเราฉลาดขึ้น โดยในปัจจุบันได้มีผู้ผลิตรถยนต์เข้าร่วมโครงการกับแอปเปิลหลายราย
หลังจากที่แอปเปิลเปิดตัว CarPlay กูเกิลเองก็ได้เปิดตัว Android Auto เพื่อสู้กับ CarPlay โดยเฉพาะ ซึ่งสิ่งที่ CarPlay เหนือกว่า Android Auto นั่นก็คือ ไม่ต้องเสียบไอโฟนเข้ากับเครื่องอีกแล้ว สามารถเชื่อมต่อไร้สายได้เลย แต่ก็ต้องดูกันต่อไปว่าระบบปฏิบัติการบนรถยนต์จะไปในทิศทางใด
8. Apple Music vs. Spotify & SoundCloud
หลังจากที่แอปเปิลเข้าซื้อบริษัท beats บริษัทหูฟังและสตรีมเพลงชื่อดัง งานนี้แอปเปิลได้เปิดตัวบริการสตรีมเพลงอย่าง Apple Music เพื่อต่อกรกับแอพสตรีมเพลงชื่อดังอย่าง Spotify SoundCloud และ Rdio
ซึ่งสิ่งที่ Apple Music เหนือชั้นกว่านั่นก็คือ Apple Music สามารถทำเพลลิสต์เพลงที่เราชอบได้ สามารถโต้ตอบ พูดคุยกับศิลปินที่เราชื่นชอบได้ผ่านแอพ Music ที่มาพร้อมกับ iOS 9 ได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้นแอปเปิลใจดีนอกจากจะสามารถใช้บริการบน iOS แล้วยังสามารถใช้ได้บน PC และ Android อีกด้วย โดยราคาค่าบริการ Apple Music อยู่ที่ $9.99 ต่อเดือน ซึ่งเป็นราคาที่สามารถแข่งกับคู่แข่งได้เลยทีเดียว
ที่มา – TechCrunch