ก่อนจะไปชมภาพยนตร์ JOBS (สตีฟ จ๊อบส์ อัจฉริยะเปลี่ยนโลก) ผมก็รู้สึกกังขาเหมือนกับหลายๆ ท่านว่าตกลงหนังจะออกมาดีหรือไม่ แต่หลังจากได้ชมแล้ว เราก็พบว่าหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง เราคงต้องเป็นคนตัดสินด้วยตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าเราคาดหวังอะไรจากภาพยนตร์
(ผมเขียนบทวิจารณ์นี้ขึ้นโดยความเห็นส่วนตัวในฐานะผู้ชื่นชอบแอปเปิลและสตีฟ จ๊อบส์ เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล และคงไม่สามารถวิจารณ์ได้เทียบเท่ากับนักวิจารณ์อาชีพ โดยหวังว่าบทวิจารณ์นี้จะส่งผลให้เกิดการพูดคุยและอภิปรายโดยเพื่อนๆ ชาว MacThai ไม่มีเจตนาในการเชิญชวนและโจมตีแต่อย่างใด)
ความคาดหวัง
ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวขึ้นพร้อมกับความคาดหวังจากผู้ชมทั่วโลกที่จะได้เห็นสตีฟ จ๊อบส์ มีชีวิตโลดแล่นในจอภาพยนตร์ และคาดหวังภาพยนตร์ที่มีบทแน่น การดำเนินเรื่องที่เหนือชั้น ความสมบูรณ์แบบและความสนุกแบบฮอลลีวู๊ด แต่ต้องทำความเข้าใจไว้ก่อนเลยว่า JOBS เป็นหนังอินดี้ที่เกิดจากการรวมตัวกันของแฟนๆ ที่อยากทำหนังออกมา เรียกว่าเป็นหนังของสาวกสตีฟ จ๊อบส์ ที่ค่อนข้างทำมาเพื่อเอาใจสาวกเป็นส่วนใหญ่
จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นคำวิจารณ์มากมายจากทั้งในต่างประเทศและในประเทศที่รู้สึกว่าบทหนัง “อ่อน” เกินไป เหมือนหยิบเอาเรื่องราวส่วนที่เด่นๆ ของชีวิตของสตีฟ จ๊อบส์ บนแกนชีวิตที่ชื่อว่าแอปเปิลมาฉายให้ดูเป็นฉากๆ และส่งผลให้ตัวหนังมีความไม่สุดสักทาง จะเป็นเรื่องราวของตัวจ๊อบส์ก็ไม่ใช่ จะเป็นเรื่องราวของแอปเปิลก็ไม่สุด
อย่างไรก็ตาม เหล่าสาวกทั่วโลก รวมทั้งผมในฐานะที่ติดตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับจ๊อบส์ การได้ดูหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสื่อที่นำเรื่องของจ๊อบส์มาแสดงให้ได้หายคิดถึง และทำให้เราได้เห็นเหตุการณ์สำคัญโดยเฉพาะช่วงโปรเจค Macintosh ให้ได้สัมผัสเนื้อหนัง ก็ต้องยอมรับอีกว่า แม้หลายส่วนของหนังทำได้ไม่ดีอย่างที่คิด แต่ก็มีหลายส่วนที่ดูแล้วรู้สึกถึงความตั้งใจของทีมงานและทำออกมาได้ดี
แอชตัน คุทเชอร์ และทีมนักแสดง
หนึ่งในสิ่งที่ดีของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ คือ ตัวแอชตันที่รับบทเป็นสตีฟ จ๊อบส์ ในความเป็นแฟนผู้คลั่งไคล้จ๊อบส์คนหนึ่ง แอชตันได้แสดงให้เราเห็นว่า “ถ้าเขาจะเป็นสตีฟ จ๊อบส์” จะออกมาเป็นแบบไหน ผลลัพธ์ที่ได้ก็มีทั้งบวกและลบ บางทีเราก็รู้สึกว่าเขาค่อนข้าง “เกิน” และทำตัวได้เป็นจ๊อบส์ที่มีความน่ารังเกียจสุดๆ แต่ในบางทีโดยเฉพาะฉากที่ออกคู่กับวอซเนียก (จอช แกด) เขาตีความจ๊อบส์ได้อ่อนโยนกว่าที่เราจินตนาการไว้ และทำให้เรายิ้มได้ไม่หุบ
นักแสดงคนอื่นๆ ที่ทางทีมแคสติ้งได้เลือกเฟ้นมาโดยเฉพาะเรื่องหน้าตาที่คล้ายกับตัวจริงนั้น ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี และในฐานะสาวกของจ๊อบส์และแอปเปิล การได้เห็นผู้คนเหล่านี้มีชีวิตบนจอภาพยนตร์แล้วทำให้เกิดรอยยิ้มได้ไม่น้อย ทั้งแอนดี้ เฮิร์ตซฟิลด์ บิล แอตคินสัน จอห์น สคัลลี และเด็ดสุด น่าสงสารสุดคงไม่พ้น กิล เอมิลิโอ ซีอีโอที่ซื้อ NeXT แล้วโดนปลดหลังจากนั้น ส่วนตัวละครหนึ่งที่หลายคนเห็นแล้วสั่นหัวอาจจะเป็น จอนนี่ ไอฟ์ ที่ดูแล้วไม่เหมือนตัวจริงเลย พอถึงเวลามีบทพูดก็ยังพยายามที่จะเป็นจอนนี่ ไอฟ์ (แต่ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี)
บทภาพยนตร์
สิ่งที่ถูกวิจารณ์โดยนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ว่าล้มเหลวคือตัวบทภาพยนตร์ การเล่าเรื่องที่เนิบช้า หยิบเอาเรื่องราวมาเรียงกัน และไม่ได้ลงลึกไปถึงสาเหตุและอารมณ์ของการกระทำต่างๆ ซึ่งเราก็เห็นด้วย อีกทั้งยังไม่สุดทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจ๊อบส์เอง หรือว่าเรื่องของแอปเปิลเองก็ตาม หลายฉากพยายามเลียนแบบภาพที่อ้างอิงได้ ซึ่งเราได้เห็นกันในหนังสือและสื่อต่างๆ ซึ่งตอนที่เห็นก็ทำให้ใจเต้นแรงขึ้นได้ แต่การร้อยเรียงเรื่องราวมาสู่ฉากต่างๆ ยังทำได้เพียงผิวเผิน
และนั่นคือสิ่งที่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่คิด แต่ส่วนที่คิดว่าทีมเขียนบท want มากๆ และตั้งใจจะทำลงไปในบทพูด คือการมีประโยคเด็ดๆ ของแต่ละบุคคลมาพูดถึงในภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นประโยคเด็ดที่จ๊อบส์พูดกับสคัลลี ตอนที่จ๊อบส์อ่านบท Think Different หรือประโยคเด็ดของกิล เอมิลิโอ ส่วนตัวดูแล้วก็สะใจที่ได้เห็นฝันเป็นจริง และคิดว่าทีมงานก็ต้องการความสะใจตรงนี้เช่นกัน (โอ้ส)
สรุป
- ภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำขึ้นโดยแฟนๆ สตีฟ จ๊อบส์ ไม่ใช่สตูดิโอใหญ่
- นักแสดงทำหน้าที่ได้ดี โดยเฉพาะคุทเชอร์ ส่วนบทภาพยนตร์ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่คาดหวัง
- รายละเอียดของฉากต่างๆ ทำออกมาได้ดี ทีมงานได้ใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้มาก
- จากการสอบถามผู้ชมจำนวนหนึ่งที่ไม่ใช่สาวก ก็ดูรู้เรื่อง
- แต่ถ้าคุณเป็นสาวก… จะต้องมีหลายฉากในภาพยนตร์ให้ได้ยิ้มออกแน่นอน
Because the people who are crazy enough to think they can change the world, are the ones who do.